top of page
  • รูปภาพนักเขียนวัดแสงธรรมวังเขาเขียว


เราตั้งหน้าประพฤติปฏิบัติกำจัดกิเลสซึ่งมีอยู่ภายในใจ ด้วยความรื่นเริงบันเทิง และความพออกพอใจ ชื่อว่าเราดำเนินตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า และชื่อว่าเราเป็น “ผู้กำลังรบ” ในสงคราม ระหว่างกิเลสกับธรรม โดยถือใจเป็นสนามรบ ข้าศึกและธรรม มีอยู่ที่ใจนี้ทั้งสองอย่าง ธรรมก็มีอยู่ที่ใจ กิเลสก็มีอยู่ที่ใจ การรบกันก็รบที่นี่


ฉะนั้นในขณะที่รบพุ่งชิงชัยกับกิเลส จิตใจจึงรู้สึกว่ามีความทุกข์ลำบากเป็นธรรมดา เพราะเป็นสนามรบของกิเลสและธรรม ซึ่งรบกันอยู่ในสถานที่นี้ เรายอมรับในเรื่องความลำบากลำบน ผลที่จะพึงเกิดขึ้นจากความลำบาก เพราะความพากเพียรในการรบกับกิเลส ก็คือ “ความสงบสุขภายในใจ” ในวาระต่อไป


เมื่อมีความท้อแท้อ่อนแอเกิดขึ้น หรือมีความท้อถอย มีความอิดหนาระอาใจ ต่อความพากเพียรเกิดขึ้น พึงระลึกถึง “ธงชัยของพระพุทธเจ้า” ท่านเขียนไว้ในสูตร ว่า


อิติปิโส ภควา หรืออรญฺเญ รุกฺขมูเล วา สุญฺญาคาเรว ภิกฺขโว” ที่ท่านสอนพระว่า “เธอทั้งหลาย ไปอยู่ในรุกขมูลร่มไม้ก็ดี ในเรือนว่างก็ดี หากมีความขลาดความกลัวเกิดขึ้น พึงระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมศาสดา น้อมเข้ามาให้สนิทติดแนบอยู่กับใจแล้วภัยทั้งหลายก็จะหายไป คือความกลัวที่เกิดขึ้นภายในจิตใจนั้น จะค่อยเบาและหายไป” ท่านว่า


โน เจ พุทฺธํ สเรยฺยาถ, อถ ธมฺมํ สเรยฺยาถ” หากระลึกถึงพระพุทธเจ้า ความกลัวภัยนั้นยังไม่หายไป ก็ให้พึงระลึกถึงพระธรรม แล้วภัยทั้งหลายจะระงับไป หรือความกลัวซึ่งมีอยู่ภายในใจจะหายไป เมื่อระลึกถึงพระธรรม (ความกลัว) ยังไม่หายไป พึงระลึกถึงพระสงฆ์เถิด ภัยทั้งหลายจะหายไป”



“นี่เป็นหลักยึดของใจที่จะให้เกิดชัยชนะ ให้เกิดความมั่นใจ ให้เธอทั้งหลายยึดนี้เป็นหลักใจ เมื่ออยู่ในสถานที่เปลี่ยว เช่น รุกขมูลร่มไม้ หรือเรือนว่าง ในป่าในเขาที่ใดก็ตาม พึงยึดถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ที่เป็นรัตนะใดก็ตาม เป็นหลักภายในจิตใจ พวกเธอทั้งหลายจะมีชัยชนะ ความหวาดกลัวทั้งหลายจะไม่เข้ามาราวีจิตใจ และถึงชัยชนะไปโดยลำดับ” นี่เป็นพระโอวาทของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนพระในครั้งพุทธกาล


ครั้งพุทธกาลกับครั้งนี้ ก็คือ พระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน เราก็คือ พุทธบริษัท ซึ่งเป็นคนเช่นเดียวกันกับครั้งพุทธกาล การระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็น “องค์รัตนะ” อันเดียวกัน จึงเป็นการเหมาะสมตลอดมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้


เราอยู่ในสถานที่ใด หากว่าเกิดความท้อแท้อ่อนแอขึ้นมา ให้ระลึกถึงปฏิปทาของพระพุทธเจ้าที่ทรงดำเนินมา

ท่านดำเนินอย่างไร ท่านถึงได้เป็น “พระศาสดา”? ท่านดำเนินด้วยความท้อแท้อ่อนแอ ดำเนินด้วยความท้อถอยอย่างนี้ หรือดำเนินแบบไหน?


พึงระลึกอย่างนี้เสมอ เมื่อเอาท่านผู้ดี ผู้มีชัยชนะ มาเป็นที่ระลึก จิตใจเราย่อมคืบหน้า หรือคล้อยตามนั้น ไม่ให้กิเลสหรือความท้อแท้อ่อนแอ ฉุดลากไปได้ง่ายๆ และระลึกถึงพระธรรม หรือพระสงฆ์ เป็นหลักยึด

“พระธรรม” ท่านว่า “เป็นของประเสริฐเลิศโลก” ความขี้เกียจอ่อนแอ ความท้อถอยเหล่านี้ เป็นของประเสริฐหรือไม่ เราทำไมจึงคล้อยตามและเชื่อถือและพอใจกับความขี้เกียจมักง่าย ความอ่อนแอนี้นักหนา! “ถ้าสิ่งเหล่านี้เป็นของประเสริฐแล้ว โลกที่เต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ ทำไมจึงไม่ประเสริฐเล่า? เราควรจะยึดอันใดเป็นหลัก และควรจะปล่อยอันใด ยึดอันใด?” อันเป็นความถูกต้องเหมาะสมกับเราผู้เป็นนักรบ



เมื่อเหตุผลเครื่องยืนยันพร้อมแล้ว ใจก็ต้องปล่อยสิ่งที่ไม่ดี และยึดความเข้มแข็งอันเป็นของดี เพื่อเข้าถึงธรรม อันเป็นของประเสริฐให้มั่นคงยิ่งขึ้นเป็นลำดับ


สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ” ของพวกเราท่านท้อแท้อ่อนแอหรือ ความท้อแท้อ่อนแอนี่กับ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เข้ากันได้ไหม ความท้อแท้อ่อนแออันเป็นเรื่องของกิเลส เป็นเครื่องทำลาย “สรณะ” ซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจให้สูญไปเหล่านี้ เป็นเครื่องเตือนตัวเอง พร่ำสอนตัวเอง เพื่อต่อสู้กันระหว่างกิเลสกับธรรม หรือกิเลสกับสติปัญญา


ความโง่เขลา คือกิเลส แต่มันฉลาดสำหรับกล่อมคนให้เคลิ้มหลับ ตัวมันเองไม่โง่ แต่คนที่ไปเชื่อมันนั้นโง่ คนที่เชื่อมันก็หยาบ คนที่เชื่อมันก็ขี้เกียจอ่อนแอถอยหลัง


แต่คนที่เชื่อ “ธรรม” ย่อมแก้สิ่งเหล่านี้ออกได้ แล้วขยับตัวเลื่อนฐานะของจิตขึ้นโดยลำดับๆ เพราะฉะนั้นการเชื่อธรรมจึงจะทำให้เรามีคุณค่า มีสาระขึ้นไปโดยไม่มีขอบเขตจำกัด


การปฏิบัติธรรมมีความลำบากมากแต่ครั้งพุทธกาลมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้

ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมเดินทางสายเดียวกัน เพราะการสู้รบกับกิเลส ซึ่งเป็นสิ่งเหนียวแน่นและฝังลึกภายในใจ จะเอาความสะดวกสบายมาจากที่ไหน แม้แต่การทำงานธรรมดาก็ยังลำบาก การต่อสู้กับกิเลส ซึ่งเป็นสิ่งเหนียวแน่นทนทานที่สุดภายในใจ และเป็นสิ่งที่ถือกรรมสิทธิ์ในหัวใจคนมานาน ทั้งเคยเป็น “ศาสดาจารย์ ของวัฏจักร” นี้มาไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ในใจดวงหนึ่งๆ เราจะกำจัดปัดเป่าหรือชำระมันออกได้อย่างง่ายดายเหมือนปอกกล้วยได้อย่างไร เพราะกิเลสไม่ใช่กล้วยพอจะปอกกันได้ง่ายๆ นี่ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องตะเกียกตะกาย จึงต้องพยายามสุดกำลังความสามารถ ทั้งสติปัญญา ทั้งความพากเพียรด้านต่างๆ ที่จะให้เป็นไปตามอรรถตามธรรม เพื่อสิ่งเหล่านี้จะได้ลดน้อยและหมดสิ้นไป ความสุข ความสำราญบานใจปรากฏขึ้นแก่เรา ผู้ดำเนินตามหลักธรรมแห่งพุทธบริษัทอันเป็นหลักใหญ่ที่เราจะพึงดำเนิน พึงระลึกไว้เสมอในการปฏิบัติธรรม เพราะกิเลสนั้นคอยกระซิบหลอกอยู่ตลอดเวลา นั่ง นอน ยืน เดิน ในอิริยาบถใด กิเลสจะต้องคอยกระซิบตามอุบายของมันอยู่เสมอ



ถ้าผู้ปฏิบัติประมาทนอนใจ ผลิตธรรม หรือสติปัญญาไม่ทัน ก็จะต้องคล้อยตามกิเลส และหลงไปโดยไม่รู้สึกตัว ถ้าอาศัยสติปัญญาอยู่เสมอ อะไรกระซิบขึ้นมา เป็นเรื่องของกิเลสเราก็ทราบ เป็นเรื่องของธรรมเราก็ทราบ พอมีทางแก้ไขหรือหลบหลีกกันไปได้


พระพุทธเจ้าก็ดี พระสาวกทั้งหลายก็ดี ท่านสมบุกสมบันลำบากตรากตรำมาจนสุดชีวิตจิตใจแทบจะไปไม่รอด แต่ก็หลุดพ้นมาได้เพราะความเพียรกล้าไม่ล่าถอย จึงนับว่าเป็น “พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ” ของพวกเรา ที่องอาจกล้าหาญเหนือ “ไตรภพ” เรียนจบกลมารยาของกิเลสทั้งสามโลกธาตุ เราผู้ดำเนินตามท่านซึ่งอยู่ในแนวรบอันเดียวกัน ก็ต้องมีความลำบากลำบนเป็นธรรมดา แต่ไม่ยอมถอย บางครั้งต้องเอาชีวิตเข้าประกันเลย เป็นก็เป็น ตายก็ตาย แต่สิ่งที่มุ่งหมายนั้น อย่างไรก็ต้องให้ติดมือมา ไม่ติดมือมาก็ให้ตายในสนามรบ ถ้าไม่ตายก็ให้ได้ชัยชนะ บางครั้งต้องเป็นอย่างนั้น สำหรับผู้ต้องการธรรมอันประเสริฐมาครองใจ


ถ้าเอาความอ่อนแอมาเป็นหลัก มาเป็นเครื่องยึด เช่นที่เคยเป็นอยู่แล้ว ก็เป็นอย่างเราๆ ท่านๆ ไม่มีใครผิดแผกแปลกต่างจากใคร เพราะสิ่งเหล่านี้มันมีเหมือนกัน มันเป็นสิ่งจอมปลอม หลอกลวงเหมือนกัน คนจึงเป็นเหมือนๆ กัน ไม่มีใครดียิ่งกว่าใครไปได้ ถ้าไม่แก้สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่จอมปลอมนี้ออกไปจากใจได้ ใจจะหาความเด่นดวงไม่ได้เลย


จาก ธรรมะชุดเตรียมพร้อม - พุทธบริษัทพึงรู้และปฏิบัติตนอย่างไร

Comments


bottom of page