top of page

ฉากที่ ๒ ชีวิตฆราวาส

เหตุการณ์ช่วงวัยเยาว์

"เด็กชายบัว"

"เด็กชายคำไพ"

พี่ชาย

ขโมยอ้อย - ถูกคุณตาดัดนิสัย

            "เรามาบ้านตาด สวนป้าฝ้ายตั้งแต่นั่งมายังเห็นแต่พื้นที่ เขาเปลี่ยนแปลงหมดแล้วแหละ สวนที่เราไปขโมยอ้อย รถเราเลี้ยวมานี่ สวนอยู่นั่น นั่นสวนอ้อยที่เราไปขโมยอ้อยเขากิน เราว่าอย่างนั้น คือมันเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว สิ่งเพาะปลูกทั้งหลายเขาเปลี่ยนไปหมดแล้ว แต่ที่ยังอยู่ตรงนั้น เราจึงได้บอกพวกที่นั่งรถไปด้วยกัน นั่นๆ สวนอ้อยที่หลวงตาบัวไปขโมยอ้อยเขามากิน มีอันหนึ่งที่น่าชม มันแปลกๆ อยู่นะล่ะ คือเราจำได้ทุกสิ่ง ในเวลาเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นจำได้หมดเลย เดินผ่านออกไปน้ำบ่ออยู่ตรงนั้น จากนั้นไปทุ่งนา เดินผ่านไปผ่านมา อ้อยมันอยู่ข้างๆ ทางติดทางนี่ อ้อยก็ลำใหญ่เสียด้วยน่าหิว

            ผ่านไปผ่านมามันอดได้ยังไงเด็ก ก็เลยชวนพี่ชายขโมยอ้อยเขาไปกินเถอะ ลำมันสวยงามเหลือเกิน พี่ชายก็เหมือน.. ภาษาภาคอีสานเขาเรียกไอ้โกก คือลิง มันก็ไปทำด้วยเรา เราเลยไม่ลืม มันแปลกที่อุบายมันแก้ตัว นี่เวลามันเป็นอันธพาลเป็นนักเลงโตเป็นขโมยมันก็แก้ของมันเก่งเหมือนกันนะ ชวนพี่ชายเข้าไป(ขโมย) รั้วเขาก็กั้นไว้เรียบร้อยแต่เด็กมันลอดได้ ลอดเข้าไปนั้นได้ไปตัดอ้อยออกมา ไปทีแรกก็ขโมย เสียงไม่มีละ พอไปเห็นอ้อยลำใหญ่ๆ แล้ว ลำนั้นก็ดี ลำนี้ก็ดี ไปใหญ่เลย เลยไม่รู้ว่าตัวขโมยหรือไม่ขโมย ตัดอ้อยออกมาได้คนละลำ ลากอ้อยออกมา

            ป้าฝ้ายเป็นญาติกัน ศักดิ์เขาเป็นพี่ เราเรียกป้า แกเป็นคนสวยงามมากป้าฝ้าย กิริยานิ่มนวลเสียด้วย มาเจอกับเด็กอย่างเรานี้อีกด้วย เด็กตัวขโมยนี่น่ะ พอลากอ้อยออกมา แกเดินมานี้มายืนตรงนี้กึ๊กแล้วว่า เด็กเหล่านี้สูทำไมขโมยอ้อยกูล่ะ พูดแล้วยิ้มนะ เพราะเกินจะไปถือสีถือสา ทางนี้ก็ตอบเราไม่ลืม ผมไม่ได้ขโมยนะป้า ผมเดินผ่านไปผ่านมา ผมเห็นอ้อยผมอยาก(หิว) อ้อยมาก เลยชวนพี่ชายเข้าไปตัดอ้อย ตัดแล้วจะแบกไปบอกป้าแล้วจึงไปบ้าน ถ้าอย่างนั้นป้าก็เอาเสีย จำได้หมดนะ โอ๊ย กูไม่เอาละ สูตัดมาแล้วสูก็เอาไปเสีย โอ๊ย ยิ้มแต้มเลย ป้าก็ลงไปนู้น ไม่ถือถือสาประสาเด็ก

            พอกลับไปก็ไปอวดพ่อตาละซิว่าขโมยยังไง พ่อตาเปิดเผยหมด แต่พูดกับป้าฝ้ายว่าไม่ได้ขโมย ไปพูดกับตาว่าขโมยทั้งคู่ ตาก็ด้อมไปหาเขาซิวันหลัง เราไม่ลืมนะ ที่ว่าไม่ได้ขโมย มันแปลกอยู่นะ ผมไม่ได้ขโมยนะป้า ผมหิวมาก พอผ่านไปผ่านมาผมทนไม่ไหวเลยไปตัดอ้อย แล้วจะแบกอ้อยไปหาป้า ไปบอกป้าแล้วจะไปบ้าน ถ้างั้นป้าก็เอาเสีย โอ๊ย กูไม่เอาละ สูเอาไปเสีย ยิ้มตลอดนะป้าฝ้าย เรายังชมกิริยาของแกกับเด็ก ไม่มีหน้าบึ้งหน้าเบี้ยวนะ พูดนิ่มนวลเสียด้วย ไพเราะด้วย เด็กเหล่านี้สูทำไมขโมยอ้อยกูล่ะ พูดแล้วยิ้มนะ ทางนี้ก็แก้ปุ๊บว่าไม่ได้ขโมย นู่นน่ะเห็นไหมมันเก่งขนาดไหน ตั้งแต่เป็นเด็กมันก็เก่งทางปัญญาขโมยนะ เราไม่ลืม

            ที่ตาไปบ้านเขาก็เพราะกลัวหลานของตัวจะเสีย ถ้าชมเชยมันไปขโมยแล้วเดี๋ยวมันจะเป็นขโมย เพราะฉะนั้นจึงไปบอกเขา มันขโมยสูนะ คือทางนั้นเขาก็บอกตามเราที่โกหกเขา ว่าผมไม่ได้ขโมยนะป้า ทีนี้เขาก็เชื่อเราละซิ เวลาตาของเราไปบ้านเขาไปเล่าเรื่อง เด็กเหล่านั้นไปขโมยอ้อยสูเมื่อวานสูรู้ไหม รู้ เขาไม่ได้ขโมยนะน้า เขาบอกว่าเขาหิวอ้อยมาก เขาตัดอ้อยแล้วเขาจะเอามาบ้านนี่แล้วเขาถึงจะไปบ้านเขา ตัวมันขโมยละสู มันพูดกับกูชัดเจนแล้ว มันโกหกสู ทางนั้นก็ไม่ถือสานะ โอ๋ย ช่างหัวมันเถอะประสาเด็ก ทางนี้เอาเรื่องนั้นแหละมาขู่ เราไม่ลืมนะ บอกให้ไปหาพวกเครื่องอาหารการบริโภคให้เด็กสองตัวนี่ มันจะไปติดคุก เดี๋ยวตำรวจเขาจะมามัดมันไป มันไปขโมยอ้อยเขามา ตามาขู่ เราเลยไม่ลืม

            โอ๋ย วิ่งร้องไห้ โดดขึ้นไปบ้านเข้าไปในห้อง นั้นละเขายิ่งจะเอาได้ง่าย อู๊ย ฟาดลงทุ่งนาเลย นั่นเห็นไหมผู้ใหญ่ดัดเด็กกลัวเด็กจะเสีย ถ้าไปส่งเสริมแล้วเด็กเสียใช่ไหม บังคับไว้อย่างนั้น แต่ธรรมดาเรานิสัยอย่างนี้ไม่มี มีตอนหิวอ้อยเท่านั้นแหละ ธรรมดาไม่มี มันหิวอ้อยเท่านั้นพาให้เป็น แล้วโกหกเขาเก่งด้วยนะ บอกว่าไม่ได้ขโมย"

หลวงตามหาบัวตอนเป็นฆราวาสหนุ่ม

            เมื่อเติบโตเข้าสู่วัยรุ่นจนกลายมาเป็นกำลังสำคัญของครอบครัว  อุปนิสัยของท่านที่เด่นชัดคือเป็นผู้มีความทรหดอดทน คือท่านจะทำงานไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเสร็จ ไม่เสร็จเป็นยอมเลิก เช่น ควาย 4 ตัว จะสลับให้มัน ทำงาน เมื่อตัวหนึ่งทำจนเหนื่อยแล้วก็ปลดไถ ออกให้มันไปอาบน้ำกินหญ้าเป็นการพัก แล้วก็ เอาตัวที่ 2 ที่ 3  มาสลับแทนเช่นนั้นตลอดจนเสร็จ ถ้าไม่มืดก็ไม่เลิกหรือไม่ใช่เวลากินข้าว กลางวันก็ไม่ยอมเลิก

            มีอยู่คราวหนึ่ง พ่อแม่และน้องเขย ซึ่งปกติเป็นกำลังสำคัญในการทำนา บังเอิญมาป่วยขึ้นพร้อมๆ กัน ทำให้ท่านต้องเป็นหัวหน้าพาน้องๆ ไปแทน น้องสาวคนรองๆ ของท่านคนหนึ่งรู้ดี ถึงนิสัยจริงจังโดยเฉพาะในเวลาทำงาน จึงนึก หวาดๆ ในใจว่า “ต๊ายกู คราวนี้ หมดทั้งวันมีแต่ทำงานก็ตายกันเท่านั้นแล้วทีนี้”

และก็เป็นความจริงอย่างที่น้องสาวคิดไว้ คือท่านเองไม่พาพักพาเลิกสักที ทำงานอยู่อย่างนั้นเรื่อยไปชนิดหากไม่ค่ำไม่ยอมเลิกรา  น้องสาวของท่านเล่าถึงเหตุการณ์ในตอนนี้ว่า

แม้น้องพยายามบอกว่า ‘อยากกินข้าวแล้ว...บัว’ ท่านก็ทำงานไปเฉย ไม่พากินข้าวไม่พาหยุดพักสักที พาขุดพา

ทำอยู่หมดมื้อหมดวัน...  ตอนนั้นเป็นช่วงบุกร้างถางพงทำนาใหม่... ท่านขุดเองเลย ไม่ใช้ควายคราดเพราะ

มันเพิ่งตัดไม้ลงใหม่ๆ รากที่อยู่ในดินยังไม่เน่า (ไถยังไม่ทันได้)… ท่านก็ทำงานไม่สนใจน้องเลย เดี๋ยวอ้อมทางนั้นแล้วอ้อมทางนี้ แล้วอ้อมไปทางนั้นอยู่ อย่างงั้นไม่จบไม่สิ้นสักที จนน้องว่า ‘โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว คิดถึงแม่’

เลยมีแต่จะร้องไห้นั่นแหละ .. ปรากฏว่าในปีนั้นได้ข้าว ๑๗ เล่มเกวียน จัดว่าได้เยอะทีเดียว

ผู้เฒ่าดูลายมือหลวงตามหาบัวตอนเป็นฆราวาส

"หนุ่มบัว"

"หนุ่มเถิง"

ผู้เฒ่าดูลายมือ

            "ก่อนผมบวชผมไม่ได้คิดว่าจะบวชอยู่นาน ๆ อย่างนี้นะ บวชเพราะพ่อ น้ำตาพ่อร่วงลงให้เห็นต่อหน้าต่อตา แต่ผมยังไม่ลืมที่ผู้เฒ่าเขาดูลายมือ ผู้ใหญ่เถิง ๆ เป็นเพื่อนกันแกขยันมากนะ เขาเรียกว่าหลานหลวงกำแหง เขาก็เรียกเราว่าหลานพ่อเฒ่าแพง แพงน่ะแม่ผมนี่ พ่อของแม่ขยันไม่มีใครสู้ในบ้าน ถ้าหลานหลวงกำแหงกับหลานพ่อเฒ่าแพงได้ทำงานแล้วไม่มีใครสู้แหละ เราก็สนิทกันไปเที่ยวบ้านคุยกัน บางทีมันก็ไปบ้านเรา เราก็มาบ้านมัน..ผู้ใหญ่เถิงนี่ ไปมีอะไรก็กินโน้นเลย เราก็เหมือนกันมาบ้านเขาก็กินเลย ถือเป็นอันเดียวกัน สนิทกันขนาดนั้นละ พ่อแม่ไม่เคยสนใจไม่เคยจะเล่าให้ฟัง ไอ้นั่นไปกินข้าวบ้านกูๆ เฉยเหมือนไม่ได้กิน เขามากินข้าวบ้านเราก็เหมือนกัน เราไปกินข้าวบ้านเขาก็เหมือนกัน

            วันหนึ่งอีตาคนอำเภอกุมภวานี่ คนนี้แกเป็นคนสุขุมนะไม่ค่อยพูด พูดแต่ว่าจะบวชๆ ผู้ใหญ่เถิง นี่น่ะ      จะบวชๆ ไหนพ่อขอดูลายมือหน่อยน่ะ มานั่งฟังอยู่นี้มีแต่จะบวชๆ มันจะได้บวชจริงๆ หรือไหนให้พ่อดูลายมือหน่อยน่ะ แกไม่พูดนะแกนั่งอยู่อย่างนั้นละนิสัยแก คนอายุประมาณสัก ๕๐ ก็ดู ผมยังไม่ลืมนะ จ้างก็ไม่ได้บวช ว่างี้เลยนะพูดยันด้วยนะ เป็นคนนิสัยไม่ค่อยพูด คนเคร่งขรึม นี่จ้างก็ไม่ได้บวช นี่คู่มันติดข้างอยู่นี่ มันจะเอาเมียเร็วๆ นี้น่ะ ว่างั้นนะ ไอ้เราก็ยิ่งมั่นใจเพราะเราไม่ต้องการจะบวช เราต้องการจะเอาเมีย

            พอทางนั้นดูเสร็จแล้วเราก็ เอ้า ดูให้ผมหน่อย แต่เขาไม่ว่าผมหรอก ดูให้ข้อย ภาษานี้ ข้อยเจ้า ข้อยเท่ากับผม เอ้า ดูให้ข้อยหน่อยน่า พอดู เอ้อ ผู้นี้ใช่แล้วนี่ เอ๊ะ ผมว่าจะเอาเมียอยู่นะ จ้างก็ไม่ได้ แน่ะคนนี้เอาอีกนะยัน ผู้นี้ถึงถูกได้บวชแน่ๆ ว่างี้เลยนะ ผู้นั้นจ้างก็ไม่ได้บวช...

พ่อขอให้หลวงตามหาบัวบวชให้ในวงข้าว
พ่อขอให้หลวงตามหาบัวบวชให้ในวงข้าว

พ่อน้ำตาร่วง ขอให้ลูกบวช

            ...เราก็ไม่ได้คิดจะบวชแต่เวลาจะเป็นไม่ยากนี่นะ นั่งรับประทานร่วมวงกันอยู่ พ่อกับลูกหลายๆ คน แม่ก็นั่งตรงโน้น พ่อก็นั่งตรงนี้ ลูกเต็มอยู่นี่ บทเวลาจะเป็นนะ เหตุไม่ยากนะผม การบวชก็ง่ายนิดเดียวบทเวลาจะบวช ก็สมกับที่ว่านี่ ถ้าจะเอาเมียทีไรก็ผิดก็พลาดไปทุกที  ทั้งๆ ที่พ่อผู้หญิงชอบหมดทั้งนั้นแหละ พอเราขึ้นไปบ้านไหน แต่ก่อนเขามีทำงานปั่นฝ้ายปั่นไหมกันทางภาคอีสาน ทุกวันนี้ก็มี เขาไปเที่ยวกันแต่เขาว่าไปเล่นสาว ภาษาทางนี้ ถ้าเราไปขึ้นบ้านไหน โอ๋ย เสียงลั่นไปแหละ คือพ่อแม่ทางผู้สาวน่ะชอบมากแต่ลูกสาวไม่เห็นชอบอะไร คือเขาอยากได้เรา เขาเห็นเราขยันก็รู้กันอยู่แล้ว

            พอกินข้าวด้วยกันเงียบๆ ไม่ได้พูดระยะนั้นนะ อยู่ๆ พ่อพูดขึ้นมาเฉยๆ กูก็มีลูกหลายคน ลูกผู้ชายใครๆ กูก็ไม่ แต่บักบัวนี่นา  กูก็ไม่เคยยกย่องลูกกู กูปล่อยให้ทำงานอะไรให้กูแล้ว เป็นที่นอนใจเลย กูไม่เคยได้หนักใจกับการบ้านการงานอะไรทั้งนั้นกับบักบัว ถ้าลงได้ทำมันเก่งกว่ากูด้วย ธรรมดาพ่อไม่เคยยกย่องลูกนะ มันลงได้ทำอะไรแล้วเก่งกว่ากูด้วยซ้ำไป กูสู้มันไม่ได้ ไอ้นี่ แต่นี้สำคัญที่ว่ากูพูดบอกให้มันบวชให้กูทีไร มันนิ่งมันเฉยเหมือนไม่มีปากมีดัง (ดัง = จมูก) กูตายไปนี้คงจะจมลงในนรกไม่มีใครจะฉุดลากขึ้นจากนรกแหละ  กูหวังพึ่งคนเดียวเท่านี้ นอกนั้นกูไม่หวังพึ่ง ไอ้นี้กูอาศัยมันได้ทุกอย่าง เรื่องการงานนี่ทุกสิ่งทุกอย่างกูเบาใจทั้งหมด ไม่เคยได้ต้องติมันเรื่องการเรื่องงาน แต่ให้บวชนี่กูพูดมาไม่รู้กี่ครั้งมันไม่เคยตอบไม่เคยพูดอะไรเลย เหมือนไม่มีปากมีดัง กูตายไปนี้คงจมในนรกไม่มีใครฉุดลากขึ้นแหละ พอว่าอย่างนั้นน้ำตาร่วงปุบปับๆ เรามองดูนี่นะ แม่มองมาเห็นพ่อเอาอีกแหละ ร่วงปุบปับ ๆ เราลุกเลยไม่กินกระทั่งน้ำ หนีเลย เอาหละไปคิด ข้าวกินไม่อิ่มน้ำก็ไม่ได้กิน ลงบันไดหนีเลย

            คิด ๓ วันนะ คิดถึงเรื่องการบวชมาทบมาทวน เอ๊ พ่อมาน้ำตาร่วง ยกลูกก็เรียกว่ายกแบบยกทุ่มลงพูดง่ายๆ ยกยอก็ยกยอเพื่อทุ่มลง บทเวลาจะให้บวชนี่ละทุ่มลง คิดเอ๊ พ่อไม่เคยน้ำตาร่วง  นี่พ่อน้ำตาร่วงเพราะเรา  คิดเอามากจริงๆ นะไม่สบายหัวใจเลย คิดสงสารพ่อ พ่อแม่ก็เลี้ยงเรามา ทั้งบ้านทั้งเมืองเขาก็มีลูกมีเต้า ลูกเต้าเขายังบวชได้ แม้แต่ติดคุกติดตะรางเขายังมีวันออก นี่ไปบวชไม่ใช่ติดคุกติดตะราง คนอื่นๆ เขายังบวชได้เขาสึกมาถมไป บางองค์ท่านบวชจนเป็นสมภารเจ้าวัดจนตายกับผ้าเหลืองก็ไม่เห็นท่านเป็นอะไร ทำไมเราบวชให้พ่อแม่สักเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้มีอย่างเหรอ เอาละนะที่นี่นะ คิด

            สุดท้ายก็ลง เราเป็นคนทั้งคนเป็นลูกชายคนหนึ่ง เป็นคนคนหนึ่ง คนอื่นเขาบวชได้เราบวชไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เอ้า บวชอยู่ในผ้าเหลืองมันอยากสึกจนกระทั่งตายก็ให้ตายดูซี พ่อแม่เลี้ยงมาก็ยาก จนขนาดที่ว่าร้องห่มร้องไห้เพราะเราไม่บวชเท่านี้มันพิลึกเหลือเกิน เราเป็นลูกของคนแท้ๆ ปัญหานี้ผมสรุปเอาเลยนะ ๓ วันถึงตัดสินใจได้ ไม่เคยมาร่วมรับประทานกับพ่อแม่เลยตั้งแต่บัดนั้นแล้ว กลัวจะโดนปัญหาอีก

            พอลงใจเรียบร้อยแล้วก็มากินข้าวละที่นี่ พูดในวงนั้นละ เอ้า เรื่องบวชจะบวชให้ว่างี้เลยนะ แต่ใครจะไปห้ามไม่ได้นะว่าบวชแล้วให้อยู่เท่านั้นปีเท่านี้เดือนค่อยสึกอย่างนี้ไม่เอา บวชแล้วอยากสึกเมื่อไรจะสึก แม่ฉลาดกว่าลูกซิ เอ้า เอาเถิดลูก  บวชให้เห็นต่อหน้าต่อตาแม่แล้ว ลูกออกมาขณะที่บวชนั้นน่ะจะมาสึกต่อหน้าคนมากๆ ที่ไปบวชลูกแม่ไม่ว่า ฉลาดไหมล่ะฟังเอา ใครไปบวชแล้วออกมาจากอุปัชฌาย์ อุปัชฌายะก็ยังไม่หนี พระกรรมวาจาฯก็ยังไม่หนี พระสงฆ์ก็ยังไม่หนีกัน คนก็แน่นอยู่นั้น ออกมาจะมาสึกต่อหน้าต่อตาคนมากๆ นี้มันไม่ขายหน้าโลกกระเทือนโลกเหรอ ไม่บวชเสียไม่ดีกว่าหรือ มันดีกว่าบวชแล้วมาทำอย่างนั้นนี่นะ แม่ก็ต้องทราบว่ามันทำไม่ลงเพราะรู้อยู่แล้วว่านิสัยของเราเป็นยังไง  นิสัยเราไม่เคยเป็นคนเสียหายนี่ การประพฤติเนื้อประพฤติตัวแต่ไหนแต่ไรมาเราไม่เคยเสียหาย เราพูดคุยได้จริง ๆ การประพฤติตัว ไม่เคยเถลไถล พอแม่ว่างั้น เอ้า บวช บวชละทีนี่..."

bottom of page