top of page

ฉากที่ ๔ ศึกษาพระปริยัติ

ศึกษาพระปริยัติธรรม

อ่านพุทธประวัติ น้ำตาร่วง

            "ในขั้นเริ่มแรกอ่านหนังสือธรรมะธัมโม เฉพาะอย่างยิ่งประวัติของพระพุทธเจ้า พุทธประวัติ เกิดความซึ้งจนถึงกับน้ำตาร่วงเรื่อย ๆ เกิดความสงสารพระองค์ด้วย เกิดความอัศจรรย์ในผลของพระองค์ที่ทรงได้รับด้วย แล้วจิตก็มีความกระหยิ่ม และอ่านประวัติของสาวกองค์นั้น ๆ ที่ออกมาจากสกุลต่าง ๆ มาแล้วมาเป็นแบบเดียวกัน ไม่ได้คำนึงถึงความอดอยากขาดแคลนอะไรทั้งนั้น มุ่งแต่อรรถแต่ธรรมเพื่อความพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียว องค์ไหนออกมาจากสกุลใด สกุลพระราชามหากษัตริย์ เศรษฐี กุฎุมพีขนาดไหน ไม่เอาเรื่องสกุลมาเกี่ยวข้องเลย เอาแต่หน้าที่ของพระเต็มเม็ดเต็มหน่วยจนได้บรรลุธรรม เมื่อบรรลุธรรมแล้วสอนใครได้ มันแตกฉานแล้วภายในหัวใจนี่ ไม่มีอะไรมาปิดมาบังก็ฉะฉานน่ะซิ พูดได้ตามความสะดวก ออกมาจากใจที่เปิดเผยอยู่แล้วโดยปรกติ...

หลวงตามหาบัวสมัยเป็นพระหนุ่มอยู่ศึกษาปริยัติ

ไปฟังเทศน์พระกรรมฐาน
"หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม"

ที่วัดป่าสาละวัน

"สมเด็จพระมหาวีรวงศ์

(พิมพ์ ธัมมธโร)"

อาจารย์ทางฝ่ายปริยัติ

            ...เราพยายามฝึกหัดทีแรกก็ล้มลุกคลุกคลานเหมือนกัน เริ่มแรกจริง ๆ ตั้งแต่เราบวชเราอยู่วัดโยธานิมิต หนองขอนกว้าง กรมทหารฯ นี่ แต่เราเลื่อมใสทางภาวนา ถึงได้มาเรียนถามท่านพระครูว่าภาวนาจะทำยังไง กระผมมีความสนใจอยากจะภาวนาด้วย ท่านก็สอนว่า พุทโธ น่ะแหละ ผมก็ภาวนา พุทโธ น่ะแหละ พอว่างั้นเอา พุทโธ เรื่อย เวลาจะหลับจะนอนเราไว้เวลา ๑ ชั่วโมง หยุดเรียนหนังสือ ๑ ชั่วโมงนั่นละทำภาวนา อย่างนั้นเป็นประจำไม่เคยลดละ ภาวนาพุทโธๆ ทำไปก็ไม่ค่อยสงบ หลายครั้งหลายหนไปสงบที่นี่ พุทโธๆ ปรากฏว่าจิตมันแน่วเข้าๆ จิตที่ค่อยแน่วๆ สงบลงไปโดยลำดับๆ

            มันเป็นจุดแห่งความสนใจเหมือนกันนะ ทำให้เกิดความสนใจ สติก็ดีขึ้นๆ แล้วจิตก็ลงถึงที่กึ๊ก โอ้โห พอจิตลงถึงที่ หือ ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ตื่นเต้น จิตใจรู้สึกมีความตื่นเต้นพูดไม่ถูก เป็นเรื่องอัศจรรย์ คงอันนั้นละความตื่นเต้นนี่ละ เราเข้าใจว่าความตื่นเต้นนี่ไปรบกวนจิตที่สงบนั้นให้ถอนตัวขึ้นมาเสีย สงบลงไปไม่นานนะ แต่พอจับได้ชัดเจนถึงเรื่องหลักฐานของจิตที่ว่าสงบลงไปแล้วเป็นอย่างไร ซึ่งเราไม่เคยเป็นเลย มาเป็นที่วัดโยธานิมิต ตะล่อมลงไปๆ พุทโธๆ พุทโธหายเงียบไปเลย จิตก็หยุดกึ๊กเลย ลงถึงที่เลย ขาดออกไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง มีเด่นอยู่แต่จิตซึ่งเป็นของอัศจรรย์อย่างยิ่ง

            นั้นแหละมันเกิดความตื่นเต้นดีใจอะไรก็แล้วแต่จะพูด เราไม่เคยเห็นอย่างนั้น แต่ไม่นาน คงจะเป็นเพราะความตื่นเต้นไปเขย่ามันเสีย จิตเลยถอนออกมา พยายามทำเท่าไรก็ไม่ได้ที่นี่ โอ๊ย เสียใจทำไม่ได้ ก็ทำอยู่ทุกวันนั่นแหละ ความจริงจิตไปคาดผลที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว อยากให้มันเป็นอย่างนั้นๆ ลืมภาวนาซึ่งเป็นหลักปัจจุบันอันจะยังผลให้เกิดนี้เสีย มันไปยุ่งกับเรื่องอดีต อารมณ์อดีตนั่นแหละมันไม่เป็น ทีนี้พอจางๆ ไป พอปล่อยอารมณ์อดีตมาภาวนา เป็นอีก พอเป็นแล้วจิตก็เป็นบ้าอีกแหละ ขยับเข้าใส่อารมณ์อดีตอยู่นั่น อยากให้มันเป็นอย่างนั้นอีกอยู่อย่างนี้ เลยอยากให้เป็นอย่างนั้นๆ อยู่โน้น อยู่นอก ลืมนี้เสีย จนกว่าจะออกภาวนาจริงๆ ...

หลวงตามหาบัวจิตรวม 3 ครั้ง สมัยเรียนปริยัติ

            ...นี่เราเป็น ๓ หนเท่านั้นละ เรียนหนังสืออยู่ถึง ๗ ปีเป็นเพียง ๓ หนเท่านั้น เป็นอย่างมากนี่นะ ลงถึงขนาดที่ว่าอัศจรรย์เต็มที่ ลงกึ๊กเต็มที่แล้วขาดหมดเลย อารมณ์อะไร ๆ ขาดหมดเลยในเวลานั้น เหลือแต่รู้อันเดียว กายก็หายเงียบเลย มันอัศจรรย์ล่ะซิ นี่ละเป็นเครื่องฝังจิตให้มีความสืบต่อที่จะออกปฏิบัติ กล้าพูดให้หมู่เพื่อนฟังได้ในที่เปิดเผย ว่าผมนี้จะเรียนจบแค่เปรียญ ๓ ประโยคเท่านั้น ส่วนนักธรรมจะได้แค่ไหนไม่สำคัญ สำคัญที่เปรียญนี้ให้ได้ ๓ ประโยคแล้วผมจะออกปฏิบัติ แต่เราไม่ได้บอกนะว่าผลของเราที่เคยปฏิบัติมา เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจ หรือทำจิตใจให้เป็นเครื่องดูดดื่ม เราไม่ได้บอก"

หลวงตามหาบัวพบหลวงปู่มั่นครั้งแรก

พบท่านพระอาจารย์มั่นครั้งแรก

            "พอพูดอย่างนี้เราก็เคยพูดแล้ว ได้เขียนในหนังสือไม่ใช่เหรอ ที่ได้ไปพบเห็นพ่อแม่ครูจารย์มั่นเบื้องต้นที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ อันนั้นมันถึงใจไม่ลืมจนกระทั่งบัดนี้ ท่านมาจากภูเขาแล้วมาพักอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง เขามาบอกข่าวว่าท่านอาจารย์มั่นมา ตอนเช้าเราก็บิณฑบาตตามปรกติของเรา มีเช้าหน่อย ทีนี้ท่านไปท่านไปสายๆ ไปบิณฑบาต ตามนิสัยท่านนั่นแหละ

            พอท่านมาแล้วอย่างวันนี้ พระท่านก็เล่าให้ฟัง วันหลังเราก็จ้อเลย จะคอยดูท่าน เราก็บิณฑบาตเช้าหน่อย ไปไม่ถึงไหนกลับมาเพื่อให้ทันเวลาท่านเข้ามา พอมาถึงวัดก็ถามหมู่เพื่อน ท่านมาแล้วยัง ยัง จ่อเลยนะจิต สักประเดี๋ยวท่านก็โผล่เข้ามา ท่านมาแล้วนู่นๆ ไหนๆ มองเห็นท่านกำลังเดินเข้ามา เข้ามาในกำแพงวัดแล้วแหละ จากนั้นมาก็ดูไป พอท่านใกล้เข้ามาก็ปุ๊บปั๊บเข้าในห้อง ห้องมันก็มีช่องอยู่ จะว่าไง ถึงมีฝามันก็มีช่อง เข้าใจไหม พอท่านใกล้เข้ามาก็ปุ๊บเข้าห้อง จ่อดูในช่อง คอยดู ดูท่านด้วยความเอิบอิ่ม ด้วยความเคารพเลื่อมใสสุดหัวใจนะเวลานั้น ดูจ้อเข้ามาๆ ดู ทีนี้พอท่านผ่านไปแล้วออกจากห้องมาดูท่านอีก ดูข้างหลังท่าน ดู วันนั้นปีติทั้งวันนะ ชาตินี้เราก็ภูมิใจ เราได้พบพระอรหันต์เสียแล้ว วันนี้ได้พบแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเราได้สังเกตดูท่านทุกอย่างด้วยความปลื้มปีติในใจของเรา ทีนี้วันนั้นจิตใจไม่ได้ไปไหน อยู่กับท่านอาจารย์มั่นทั้งนั้น เป็นมงคลสูงสุดว่าเรามีวาสนาเกิดมาได้พบพระอรหันต์เสียแล้วในคราวนี้ แม้เราไม่ได้เป็นพระอรหันต์เราได้ชมบารมีท่านเราก็พอใจ อันนี้ถึงใจหมดนะที่ว่านี้"

ฟังเทศน์ท่านพระอาจารย์มั่นครั้งแรก

            ใจความสำคัญของธรรมที่หลวงปู่มั่นได้แสดงในวันนั้น องค์หลวงปู่มหาบัวได้ลิขิตไว้ในหนังสือประวัติ
ท่านพระอาจารย์มั่น ดังนี้
            “...วันนี้ตรงกับวันพระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน เราเรียกว่า “วันวิสาขบูชา” พระพุทธเจ้าเกิดกับสัตวโลกเกิดต่างกันมาก ตรงที่ท่านเกิดแล้ว ไม่หลงโลกที่เกิดที่อยู่และที่ตาย มิหนำยังกลับรู้แจ้งที่เกิดที่อยู่และตายของพระองค์ด้วยพระปัญญาญาณโดยตลอดทั่วถึง ที่เรียกว่าตรัสรู้นั่นเอง เมื่อถึงกาลอันควรจากไป ทรงลาขันธ์ที่เคยอาศัยเป็นเครื่องมือบำเพ็ญความดีมาจนถึงขั้นสมบูรณ์เต็มที่ แล้วจากไปแบบ “สุคโต” สมเป็นศาสดาของโลกทั้งสาม ไม่มีที่น่าตำหนิแม้นิดเดียว ก่อนเสด็จจากไปโดยพระกายที่หมดหนทางเยียวยา ก็ได้ประทานพระธรรมไว้เป็นองค์แทนศาสดา ซึ่งเป็นที่น่ากราบไหว้บูชาคู่พึ่งเป็นพึ่งตายถวายชีวิตจริงๆ
            เราทั้งหลายต่างเกิดมาด้วยวาสนา มีบุญพอเป็นมนุษย์ได้อย่างเต็มภูมิดังที่ทราบอยู่แก่ใจแต่อย่าลืมตัวลืมวาสนาของตัว โดยลืมสร้างคุณงามความดีเสริมต่อภพชาติของเรา ที่เคยเป็นมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงและกลับกลายหายไปชาติต่ำทรามที่ไม่ปรารถนาจะกลายมาเป็นตัวเราเข้าแล้วแก้ไม่ตก ความสูงศักดิ์ ความต่ำทราม ความสุข
ทุกขั้นจนถึงบรมสุข และความทุกข์ทุกขั้นจนเข้าขั้นมหันตทุกข์เหล่านี้ มีได้กับทุกคนตลอดสัตว์ถ้าตนเองทำให้มี อย่าเข้าใจว่าจะมีได้ เฉพาะผู้กำลังเสวยอยู่เท่านั้นโดยผู้อื่นมีไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติกลาง แต่กลับกลาย
มาเป็นสมบัติจำเพาะของผู้ผลิตผู้ทำได้ ฉะนั้น ท่านจึงสอนไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามกัน เมื่อเห็นเขาตกทุกข์หรือกำลังจนจนน่าทุเรศ เราอาจมีเวลาเป็นเช่นนั้น หรือยิ่งกว่านั้นก็ได้ เมื่อถึงวาระเข้าจริงๆ ไม่มีใครมีอำนาจหลีกเลี่ยงได้
เพราะกรรมดีกรรมชั่วเรามีทางสร้างได้เช่น เดียวกับผู้อื่น จึงมีทางเป็นได้เช่นเดียวกับผู้อื่น และผู้อื่นก็มีทางเป็นได้เช่นที่เราเป็นและเคยเป็น
            ศาสนาจึงเป็นหลักวิชาตรวจตราดูตัวเองและผู้อื่นได้อย่างแม่นยำ และเป็นวิชาเครื่องเลือกเฟ้นได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีวิชาใดในโลกเสมอเหมือน นับแต่บวชและปฏิบัติมาอย่างเต็มกำลังจนถึงวันนี้ มิได้ลดละการตรวจตราเลือกเฟ้นสิ่งดีชั่วที่มีและเกิดอยู่กับตนทุกระยะ มีใจเป็นตัวการพาสร้างกรรมประเภทต่างๆ จนเห็นได้ชัดว่า กรรมมีอยู่กับผู้ทำ มีใจเป็นต้นเหตุของกรรมทั้งมวล ไม่มีทางสงสัย ผู้สงสัยกรรมหรือไม่เชื่อกรรมว่ามีผล คือคนลืมตนจนกลายเป็นผู้มืดบอดอย่างช่วยอะไรไม่ได้
            คนประเภทนั้น แม้เขาจะเกิดและได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่มาเป็นอย่างดี เหมือนโลกทั้งหลายก็ตาม เขามองไม่เห็นคุณของพ่อแม่ว่าผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูตนมาอย่างไรบ้าง แต่เขาจะมองเห็นเฉพาะร่างกายเขาที่เป็นคนซึ่งกำลังรกโลกอยู่โดยเจ้าตัวไม่รู้เท่านั้น ไม่สนใจคิดว่าเขาเกิดและเติบโตมาจากท่านทั้งสอง ซึ่งเป็นแรงหนุนร่างกายให้เป็นอยู่ตามกาลของมัน การทำเพื่อร่างกาย ถ้าไม่จัดว่าเป็นกรรมคือการทำจะควรจัดว่าอะไร สิ่งที่ร่างกายได้รับมาเป็นประจำ ถ้าไม่เรียกว่าผล จะเรียกว่าอะไรจึงจะถูกตามความจริง
            ดี ชั่ว สุข ทุกข์ ที่สัตว์ทั่วโลกได้รับกันมาตลอดสาย ถ้าไม่มีแรงหนุนเป็นต้นเหตุอยู่แล้วจะเป็นมาได้ด้วยอะไร ใจอยู่เฉยๆ ไม่คะนองคิดในลักษณะต่างๆ อันเป็นทางมาแห่งดีและชั่ว คนเราจะกินยาตายหรือฆ่าตัวตายได้ด้วยอะไรสาเหตุแสดงอยู่เต็มใจที่เรียกว่าตัวกรรมแล ทำคนจนถึงตายยังไม่ทราบว่าตนทำกรรมแล้ว ถ้าจะไม่เรียกว่ามืดบอด จะควรเรียกว่าอะไร
            กรรมอยู่กับตัวและตัวทำกรรมอยู่ทุกขณะ ผลก็เกิดอยู่ทุกเวลา ยังสงสัยหรือ ไม่เชื่อกรรมว่ามี และให้ผลแล้วก็สุดหนทาง ถ้ากรรมวิ่งตามคนเหมือนสุนัขวิ่งตามเจ้าของ เขาก็เรียกว่าสุนัขเท่านั้นเอง ไม่เรียกว่ากรรม นี่กรรมไม่ใช่สุนัข แต่คือการกระทำดีชั่ว ทางกายวาจาใจต่างหาก ผลจริงคือความสุขทุกข์ที่ได้รับกันอยู่ทั่วโลก กระทั่งสัตว์ผู้ ไม่รู้จักกรรม รู้แต่กระทำคือหาอยู่หากิน ที่ทางศาสนาเรียกว่ากรรมของสัตว์ของบุคคล และผลกรรมของสัตว์ของบุคคล"

bottom of page