top of page

ฉากที่ ๕ สุบินนิมิต

หลวงตามหาบัวตั้งจิตอธิษฐานเพื่อออกปฏิบัติ

ตั้งจิตอธิษฐาน

            "เรายังไม่ลืมนะคำสัตยาธิษฐานของเราที่ตั้งก่อนตอนพรุ่งนี้เช้าเราจะออกเดินทาง เราเอาอย่างเร็วขนาดนั้นนะ เพราะถ้าเป็นผลไม้ก็เรียกว่ามันจะหล่นอยู่แล้ว คือจะออกอยู่แล้ว กลางคืนตั้งสัจอธิษฐานหากว่าข้าพเจ้าออก ๑) ข้าพเจ้าออกได้ด้วย และออกไปแล้วปฏิบัติธรรมถึงความมุ่งหมายที่เราได้ปรารถนาไว้หนึ่ง ขอให้นิมิตในทางฝันก็ตาม หรือจะรู้ในทางด้านภาวนาก็ตาม ให้เป็นของอัศจรรย์ เราเอาความอัศจรรย์ในนิมิต จะเป็นความฝันก็ตาม จะรู้ด้วยทางภาวนาก็ตาม เรายอมรับทั้งสองอย่าง เพราะเราภาวนาอยู่ทุกวันไม่เคยละเรียนหนังสืออยู่ก็ดี ๒) ถ้าออก-ออกได้ คือว่าออกจากทางเรียนที่ผู้ใหญ่บังคับไว้นี้ได้ แต่ไม่เกิดผลอะไร ก็ให้แสดงนิมิตแบบนั้น แบบออกได้แต่ไม่มีผลให้เห็นได้อย่างชัด ๆ ๓) ออกไม่ได้ด้วยและไม่มีผลอะไรด้วย ก็ให้เห็นอย่างชัด ๆ ๓ ข้อด้วยกันตั้งสัจอธิษฐาน...

            ...เวลาไหว้พระสวดมนต์เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตั้งสัจอธิษฐานอย่างนี้ แล้วก็นั่งภาวนาพอสมควร ก็ไม่รู้อะไรไม่เห็นอะไร นอน อยู่วัดบรมนิวาสลืมเมื่อไร มันก็ ๖ ทุ่มแล้วแหละ นอนลงไป ประมาณสักตี ๔ นี่มันฝันอะไรพิสดาร โอ้โฮ อัศจรรย์จนกระทั่งทุกวันนี้ความฝันน่ะ พอหลับลงไป แต่ฝันตอนจวนสว่างคือตอนตี ๔

 ปรากฏว่าเหาะขึ้นอากาศโน่น เหาะรอบพระนครหลวง แต่ไม่ใช่นครหลวงกรุงเทพฯ เรานะ นครอะไรแปลกอัศจรรย์ เหมือนนครเทพ เหมือนเทวสถาน เราเหาะรอบพระนคร ๓ รอบ พระนครนี้มองสุดสายหูสายตา มองลงไปตึกรามบ้านช่องเป็นเหมือนหอปราสาท ประดับด้วยทองคำด้วยเพชรด้วยพลอยอะไรอย่างนั้น แพรวพราวไปหมดอัศจรรย์จนกระทั่งทุกวันนี้นะ โอ้โฮ เมืองอะไรถึงเป็นอย่างนี้ มันไม่ใช่มุงหรือปลูกสร้างกันด้วยวัตถุต่าง ๆ เหมือนมนุษย์ทั้งหลายสร้างกัน เช่นด้วยอิฐด้วยปูนด้วยไม้ด้วยดินเผาอะไรเหล่านี้ มันไม่มีอย่างนั้นนี่ มองลงไปมันเป็นทองเหลืองอร่ามไปหมดเลย แพรวพราวอัศจรรย์ เหาะไปเรื่อยชมเรื่อย เหาะรอบพระนคร ๓ รอบนี้เกิดความอัศจรรย์จนถึงใจเหมือนกัน เพลิน ถึง ๓ รอบแล้วก็ลง พอลงมาถึงที่กึ๊กรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
 
            มันก็คงจะเริ่มตั้งแต่ตี ๓ ฝันนี่นะ รู้สึกตัวขึ้นมาก็เป็นตี ๔ เวลาตี ๔ พอดี โอ้โห มีความกระหยิ่มเต็มที่ อย่างไรก็สำเร็จตามความมุ่งหมายไม่สงสัยความฝันนี้ เราได้ตั้งเป็นสัตยาธิษฐานอย่างเต็มที่แล้ว จิตแน่วแน่ที่สุดในขณะที่ตั้งสัตยาธิษฐาน ไม่ได้วอกแวกคลอนแคลนเลย เราแน่ใจอย่างไรเรา ๑) เราต้องได้ออก ๒) ออกแล้วเราต้องสำเร็จตามความมุ่งหมายของเราโดยไม่สงสัย

            พอตื่นเช้ามาแล้วมีความดีใจภูมิใจ โอ้โห เย็นไปหมดวันนั้น พอฉันเสร็จแล้วก็ไปกราบลาสมเด็จองค์เก่า สมเด็จฯ ติสฺโส อ้วน วัดบรมนิวาส เอ้อ เจ้าจะไปก็ดีให้ไปช่วยที่วัดสุทธจินดาหน่อยนะว่างั้น เกล้าฯก็จะไปทางโน้นแหละก็ว่างั้น เราจะไปทางโน้นต่างหากแต่เราไม่ได้หวังจะช่วย ก็เพื่อให้ท่านเปิดโอกาส เกล้าฯก็จะไปทางโน้นแหละ เอ้อไปได้ ว่างั้นเราก็เตรียมตัวออกเดินทางในวันนั้นเลย ขึ้นรถมานอนโคราช แล้วก็เลยไปจำพรรษาที่จักราช ปีนั้นไปจำพรรษาที่อำเภอจักราช"

นิมิตตาปะขาว

            "นี่ก็มีเพื่อนองค์หนึ่งนะ เราก็ระลึกถึงคุณท่านไม่ลืม คืออันใดที่เป็นอยู่ภายในจิตของเราเราจะรู้ภายในจิต ไม่บอกใคร เช่นอย่างภาวนาอยู่พอจิตรวมลงไปสงบลงไปมีตาปะขาวมา เดินมายืนตรงหน้า ทั้งๆ ที่จิตรวมนะ มันออกมาแสดงภาพตาปะขาวมา มาก็มายืนตรงหน้าเรานับข้อมือ หก เจ็ด แปด พอข้อมือที่เก้าปั๊บแล้วมองมาหาเรา ทางนี้ก็รู้รับกันปั๊บเลยว่า ๙ ปีสำเร็จ สำเร็จมันมีอยู่สองแง่ ๙ ปีตั้งแต่บวชมาถึงวันสำเร็จเป็นเวลา ๙ ปี อีกอันหนึ่งตั้งแต่ออกปฏิบัติ ๙ ปี จึงสำเร็จ

            มาถึง ๙ ปีจิตยุ่งเหมือนไฟเผาหัวอก โอ๊ย มันจะสำเร็จอะไร ๙ ปี ตอนที่เป็นนั้นก็พรรษา ๗ ออกปฏิบัติทีแรก มาถึงพรรษา ๙ มันก็ไม่ได้เรื่องอะไร ไฟเผาหัวอก โอ๊ ไม่ใช่ละพรรษา ๙ นี่นะ ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่ปฏิบัตินี้เอา ๙ พรรษานั้นแหละ ตัดสินกันตรงนั้นตามความรู้อันนี้ พอออกพรรษาแล้วยังไม่สำเร็จ แต่จิตละเอียดมากนะ หากไม่สำเร็จ เลยมีเพื่อน คำว่าเพื่อนนี่หมายถึงผู้ฝากความคิดจิตใจ พึ่งเป็นพึ่งตายกันจริงๆ ไม่ใช่ไปเล่าให้พระฟังสุ่มสี่สุ่มห้านะ พระสุ่มสี่สุ่มห้าไม่รู้เรื่องอย่างนี้ ต้องผู้ปฏิบัติด้วยกัน เคยคุยกันมาแล้ว

            ตอนนั้นออกพรรษาแล้ว จิตมันละเอียดมาก แต่มันยังไม่สำเร็จซิ ก็เลยเอาทีนี้ผมจะเล่าความโง่ให้ท่านฟัง เป็นอย่างไรเล่าซิ ก็นี้ภาวนาบอกว่า ๙ ปี สำเร็จ ผมก็ดำเนินมา ๙ ปีตั้งแต่บวชมา แล้วเป็น ๙ ปีสำเร็จ หรือว่าเป็นอย่างไร ทีนี้ ๙ ปีนั้นบวชมาจิตเป็นไฟมันไม่ได้เรื่อง ทีนี้ ๙ ปีนี้ออกพรรษาแล้วในวันนี้จิตละเอียดก็จริง แต่มันยังเราก็บอกว่ายัง ไม่สำเร็จ นี่ออกพรรษาแล้ววันนี้มันยังไม่สำเร็จ ท่านองค์นั้นท่านก็ดีท่านแก้ให้ เราไม่ลืมคุณท่านนะ

โอ๊ย ไม่ใช่อย่างนี้ คำว่า ๙ ปี พอออกพรรษาปั๊บเป็น ๙ ปี พรรษานี้ต้องไปชนพรรษาหน้าซิ ท่านว่าอย่างนั้น เป็นเวลาที่จะบำเพ็ญและบรรลุธรรมได้สบายๆ จากนี้ไปอีกถึงพรรษาหน้าถ้าเข้าพรรษาปั๊บเมื่อไรแล้วคำว่า ๙ ปีก็สิ้นสุดลง เหอ อย่างนั้นเหรอ เอาอีก ฟาดทีนี้เดือนหก แน่ะเราก็ไม่ลืมนะ  ดังที่ว่าวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ นั่นละไปลงกันจุดนั้นเป็น ๙ ปี ยังไม่เข้าพรรษา เดือนหก เราก็ไม่ลืม ก็เป็นจริงๆ เออใช่ ใช้ได้ ไม่สงสัยเป็นจริงๆ ใน ๙ ปีนั้น

            มันหากเป็นในจิต ถ้ามันเป็นในใจแล้วจะไม่เล่าให้ใครฟังนะ เราจะเก็บของเราจนกระทั่งมันหมดวิสัยของตัวเองแล้วควรจะระบายให้ใครฟังเพื่อความช่วยเหลือกันเราก็เล่า อย่างที่เล่าให้พระเพื่อนกันฟัง ที่ว่า ๙ ปีสำเร็จ นี่มันออกพรรษาแล้วมันยังไม่สำเร็จ ว่าอย่างไร จิตนี่ยอมรับว่าละเอียดแต่มันยังไม่สำเร็จ โอ๋ ก็มันพึ่งออกพรรษา มันต้องเอาตั้งแต่นี้ไปถึงชนพรรษาหน้าซิ ท่านพูดนะ เป็นเวลาที่ทำความเพียรได้ตลอด สำเร็จได้สบาย เวลานี้มันพึ่งออกพรรษา จนกระทั่งเข้าพรรษาหน้า ๙ ปีถึงจะหมดไป เหอ อย่างนั้นเหรอ ซัดอีก พอดีไปถึงเดือนหกไม่ถึงวันเข้าพรรษา ขาดสะบั้น เป็นอย่างนั้นละ"

bottom of page