top of page

ฉากที่ ๖ ถวายชีวิตหลวงปู่มั่น

หลวงตามหาบัวเริ่มจิตเสื่อมเข้าสมาธิไม่ได้ เพียงเพราะทำกลดหนึ่งคัน

จิตเสื่อมเพราะทำกลด

            "ออกมาก็เร่ง มาทีแรกก็มาจำพรรษาโคราช อำเภอจักราช เพราะตามท่านอาจารย์มั่นไม่ทัน ก็เร่งความเพียรตั้งแต่มาถึงทีแรก ไม่นานจิตก็ได้ความสงบ เพราะทำทั้งวันทั้งคืนไม่ยอมทำงานอะไรทั้งนั้นนอกจากงานสมาธิภาวนาเดินจงกรมอย่างเดียว ตามประสาของคนล้มลุกคลุกคลานนั่นแหละ จิตมันก็สงบได้ ก็เร่งใหญ่เลย แต่ก็ดังที่เคยเล่าให้ฟังแล้ว มันก็มาเสื่อมตอนทำกลด ตอนนั้นสมาธิไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ แน่นปึ๋งเลยเทียว แน่ใจว่ามรรคผลนิพพานมีแล้วเพราะจิตมันแน่นปึ๋ง ไม่สะทกสะท้านกับอะไร"

หลวงตามหาบัวมาพบหลวงปู่มั่นเดินจงกรมอยู่
หลวงตามหาบัวกราบฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น

ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น

            "ไปหาท่านแหละ ไปกลางคืน ไปเดินซุ่มซ่ามๆ ไปก็ดู เราพิจารณาดูสถานที่อยู่ของท่าน เข้าไปกุฏิ ท่านเดินจงกรมอยู่ข้างศาลาเล็กๆ เราไม่เห็น เดินซุ่มซ่ามๆ ไปกลางคืน ขบขันดีนะ ไปก็ไปดูศาลา เป็นศาลากรรมฐาน เฉพาะหลวงปู่มั่นเรานี้รู้สึกจะเล็กไปสักหน่อยหนึ่ง เพราะนามของท่านกระเดื่องทั่วประเทศไทย แต่เพราะท่านมาพักใหม่ ศาลาหลังเล็กๆ เราก็ดู ถ้าว่าเป็นกุฏิก็จะใหญ่ไปสักหน่อย ถ้าเป็นศาลาก็จะเล็กไป ไปยืนดู ท่านเดินจงกรมอยู่นี่ข้างๆ ใครมานี่ ท่านว่าอย่างนั้นนะ บอกว่ากระผม  พอว่ากระผมแล้วเสียงลั่นเลย นั่นเห็นไหมธรรม

            คือเงียบๆ ไม่ใช่เงียบๆ อะไรนะ ถ้าท่านเดินจงกรมเงียบ วัดเหมือนวัดร้าง กฎระเบียบของท่านผู้จะครองอรรถครองธรรมเข้าสู่ใจเป็นอย่างนั้น นี่นำเรื่องคติอันดีมาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง พระ 8 องค์ 9 องค์เหมือนวัดร้าง มืดนะนั่น ท่านกำลังเดินจงกรม พ่อแม่ครูจารย์เองก็เดินอยู่นี่ ท่านว่าใครมานี่ บอกกระผม พอว่ากระผม อันว่าผมๆ ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผม ท่านว่า เสียงลั่นขึ้นเลย ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็ยังมีผมตรงที่มันไม่ล้าน เอา แย้งซิ ตรงที่มันไม่ล้านมันมีผมจริงๆ ใช่ไหม ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผม เสียงดังขึ้นเลย พระเดินจงกรมอยู่ เสียงลั่นขึ้นพระก็หลั่งไหลมา เราก็บอกว่ากระผมชื่อพระมหาบัว  เอ้อ ก็ว่าอย่างนั้นซี นี่ผมๆ ท่านแหย่เอาด้วยนะ ตั้งแต่เด็กมันก็มีผม เอาอีกแหละ

            โอ้ ถึงใจนะ  แทนที่เป็นผลลบไม่นะ เป็นผลบวก สมกับเจตนาของเรามุ่งใส่ท่านอย่างแรงกล้า มุ่งมรรคผลนิพพานไม่ใช่มุ่งอะไร ท่านคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไม่มีที่สงสัย  คือพระอรหันต์สมัยปัจจุบันนั่นแหละพูดง่ายๆ ท่านพระอาจารย์มั่นคือพระอรหันต์ในสมัยปัจจุบัน จากนั้นก็เลยอยู่กับท่านมาตลอด ก็เดชะอยู่นะ ตั้งแต่ไปอยู่เป็นเวลา 8 ปีท่านก็ล่วงไป ถึงจะออกไปเที่ยวก็ไปใกล้ๆ แล้วกลับเข้ามา เรียกว่าบ้านเกิดบ้านตายของเราอยู่กับท่าน ถึงเวลาออกเที่ยวก็เที่ยว เป็นเวลา 8 ปี ท่านเมตตารับไว้

            เรื่องกฎระเบียบนี้เรียบหมดเลย นั่นน่ะดูเอา ทีนี้เราไปดูทีแรกดูพระ เณรไม่มีนะมีแต่พระ ดูเหมือน 9 องค์ ออกมาศาลามององค์ไหนๆ เหมือนผ้าพับไว้ๆ ประหนึ่งว่าพระเหล่านี้ท่านเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด เพราะเชื่อหลักใหญ่ได้แก่พ่อแม่ครูจารย์มั่น เราชี้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าคือพระอรหันต์ ทีนี้มองดูพระที่ลงมาศาลาตอนเช้าครั้งแรกนะนี่ มองดูองค์ไหนเหมือนผ้าพับไว้ๆ เรียบไปหมดเลย เราก็ดู โอ้ พระเหล่านี้ท่านเป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้วเหรอ ก็มีพระโกโรโกโสแต่เราองค์เดียวเท่านี้หรือที่มาขวางวัดอยู่นี่น่ะ นึกในใจนะ ท่านเรียบขนาดนั้นละ เป็นผ้าพับไว้หมดเลย จนกระทั่งว่า เอ้อ พระเหล่านี้ท่านเป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้วเหรอ จะเป็นพระเทวทัตขวางโลกขวางศาสนาแต่เราองค์เดียวนี้เหรอ นึกในใจนะ ครั้นอยู่ไปๆ ก็ค่อยรู้เรื่องรู้ราวกันไป นี่พูดถึงเรื่องความเรียบร้อย ทุกสิ่งทุกอย่างงามหูงามตาไปหมด นั่นละผู้ใหญ่เป็นธรรมเป็นอย่างนั้นละ"

หลวงตามหาบัวนิมิตลอดกอไผ่
หลวงปู่มั่นยื่นตะบันหมากให้หลวงตามหาบัว

นิมิตลอดกอไผ่ - ข้ามมหาสมุทร

            "ไปอยู่กับท่านได้ประมาณสัก 4-5 คืนเท่านั้นกระมัง ความฝันนี้ก็เป็นความฝันเรื่องอัศจรรย์เหมือนกัน ฝันว่าสะพายบาตร แบกกลด ครองผ้าด้วยดีไปตามทางอันรกชัฏ สองฟากทางแยกไปไหนไม่ได้มีแต่ขวากแต่หนามเต็มไปหมด นอกจากจะพยายามไปตามทางที่เป็นเพียงด่านๆ ไปอย่างนั้นแหละ รกรุงรัง หากพอรู้เงื่อนพอเป็นแถวทางไป พอไปถึงที่แห่งหนึ่งก็มีกอไผ่หนาๆ ล้มทับขวางทางไว้ หาทางไปไม่ได้ จะไปทางไหนก็ไปไม่ได้ มองดูสองฟากทางก็ไม่มีทางไป เอ นี่เราจะไปยังไงนา เสาะที่นั่นเสาะที่นี่ไปก็เลยเห็นช่อง ช่องที่ทางเดินไปตรงนั้นแหละ เป็นช่องนิดหน่อยพอที่จะบึกบึนไปให้หลวมตัวกับบาตรลูกหนึ่ง พอไปได้

            เมื่อไม่มีทางไปจริงๆ ก็เปลื้องจีวรออก มันชัดขนาดนั้นนะความฝัน เหมือนเราไม่ได้ฝัน เปลื้องจีวรออกพับเก็บอย่างที่เราพับเก็บเอามาวางนี้แล เอาบาตรออกจากบ่าเจ้าของก็คืบคลานไป แล้วก็ดึงสายบาตรไปด้วย กลดก็ดึงไปไว้ที่พอเอื้อมถึง พอบืนไปได้ก็ลากบาตรไปด้วย ลากกลดไปด้วย แล้วก็ดึงจีวรไปด้วย บืนไปอยู่อย่างนั้นแหละยากแสนยาก พยายามบึกบึนกันอยู่นั้นเป็นเวลานาน พอดีเจ้าของก็พ้นไปได้ เดี๋ยวก็ค่อยดึงบาตรไป บาตรก็พ้นไปได้ แล้วก็ดึงกลดไป กลดก็พ้นไปได้ พยายามดึงจีวรไปจีวรก็พ้นไปได้ พอพ้นไปได้หมดแล้วก็ครองผ้า มันชัดขนาดนั้นนะความฝัน ครองจีวรแล้วก็สะพายบาตร นึกในใจว่าเราไปได้ละที่นี่ ก็ไปตามด่านนั้นแหละ ทางรกมาก พอไปประมาณสัก 1 เส้นเท่านั้น สะพายบาตร แบกกลด ครองจีวรไป

            ตามองไปข้างหน้าเป็นที่เวิ้งว้างหมด คือข้างหน้ามันเป็นมหาสมุทร มองไปฝั่งโน้นไม่มี เห็นแต่ฝั่งที่เจ้าของยืนอยู่เท่านั้น และมองเห็นเกาะหนึ่งอยู่โน้นไกลมาก มองสุดสายตาพอมองเห็นเป็นเกาะดำๆ นี่แหละ นี่เราจะไปเกาะนั้น พอเดินลงไปฝั่งนั้นเรือไม่ทราบมาจากไหน เราก็ไม่ได้กำหนดว่าเรือยนต์เรือแจวเรือพายอะไร เรือมาเทียบฝั่ง เราก็ขึ้นนั่งเรือ คนขับเรือเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับเรา พอลงไปนั่งเรือแล้วก็เอาบาตรเอาอะไรลงวางบนเรือ เรือก็บึ่งพาไปโน้นเลยนะโดยไม่ต้องบอก มันอะไรก็ไม่ทราบ บึ่งๆๆ ไปโน้นเลย ไม่รู้สึกว่ามีภัยมีอันตรายมีคลื่นอะไรทั้งนั้นแหละ ไปแบบเงียบๆ ครู่เดียวเท่านั้นก็ถึงเพราะเป็นความฝันนี่

            พอไปถึงเกาะนั้นแล้ว เราก็ขนของออกจากเรือแล้วขึ้นบนฝั่ง เรือก็หายไปเลยไม่ได้พูดกันสักคำเดียวกับคนขับเรือ เราก็สะพายบาตรขึ้นไปบนเกาะนั้น พอปีนเขาขึ้นไปๆ ก็ไปเห็นท่านอาจารย์มั่นกำลังนั่งอยู่บนเขาบนเตียงเล็กๆ กำลังนั่งตำหมากจ๊อกๆ อยู่ พร้อมกับมองมาดูเราที่กำลังปีนเขาขึ้นไปหาท่าน อ้าว ท่านมหามาได้ยังไงนี่ ทางสายนี้ใครมาได้เมื่อไหร่ ท่านมหามาได้ยังไงกัน กระผมนั่งเรือมา ขึ้นเรือมา โอ้โฮ ทางนี้มันมายากนา ใครๆ ไม่กล้าเสี่ยงตายมากันหรอก เอ้า ถ้าอย่างนั้นตำหมากให้หน่อย ท่านก็ยื่นตะบันหมากให้ เราก็ตำจ๊อกๆๆ ได้ 2-3 จ๊อก เลยรู้สึกตัวตื่น แหม เสียใจมาก อยากจะฝันต่อไปอีกให้จบเรื่องก่อนค่อยตื่นก็ยังดี

            พอตื่นเช้ามาก็เลยไปเล่าความฝันให้ท่านฟัง ท่านพูดทำนายได้ดีมาก เอ้อ ที่ฝันนี้เป็นมงคลอย่างยิ่งแล้วนะ นี้เป็นแบบเป็นฉบับในปฏิปทาของท่านไม่เคลื่อนคลาดนะ ให้ท่านดำเนินตามปฏิปทาที่ท่านฝันนี้ เบื้องต้นจะยากลำบากที่สุดนะ ท่านว่าอย่างนั้น ท่านต้องเอาให้ดี ท่านอย่าท้อถอย เบื้องต้นนี้ลำบาก ดูท่านลอดกอไผ่มาทั้งกอ นั่นแหละลำบากมากตรงนั้น เอาให้ดีอย่าถอยหลังเป็นอันขาด พอพ้นจากนั้นไปแล้วก็เวิ้งว้างไปได้สบายจนถึงเกาะ ท่านว่าอย่างนั้น อันนั้นไม่ยาก ตรงนี่ตรงยากนา

            เราฟัง เราฟังจริงๆ นี่มันถึงใจๆ เป็นกับตายท่านอย่าถอยตรงนี้ ครั้งแรกนี้ยากที่สุด พอดีกับตอนจิตเจริญจิตเสื่อม ตอนนั้นแหละมันยากจนจะเอาหัวฟาดใส่ภูเขาไปโน้นแน่ะ มันโมโห เจริญแล้วก็เสื่อมๆ ท่านก็แนะไว้อย่างนั้น พอพ้นจากนี้แล้วท่านจะไปด้วยความสะดวกสบายไม่มีอุปสรรคอันใดเลย มีเท่านั้นแหละ เบื้องต้นเอาให้ดีอย่าถอยนะ ท่านว่าอย่างนี้ ถ้าถอยตรงนี้ไปไม่ได้นะ เอ้า เป็นก็เป็นกัน ตายก็ตาย ฟาดมันให้ได้ตรงนี้น่ะ ในนิมิตบอกแล้วว่าไปได้นี่ มันจะยากแค่ไหนมันก็ไปได้นี่ อย่าถอยนะ จำได้ฝังใจ ดีใจพอใจ ถึงได้ดำเนินตามนั้นเรื่อยมา"

bottom of page