ฉากที่ ๗ เร่งความเพียร
นั่งภาวนาตลอดรุ่ง
"นี่เอาความจริงมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง นี่ละฟัดกับกิเลสเอาถึงขนาดนั้น นั่งก็นั่งตลอดรุ่งๆ จนกระทั่งก้นแตกๆ ฟังซิน่ะ เคยมีที่ไหน เห็นแต่หมอนแตกเสื่อแตก เสื่อขาด นั่งภาวนาตลอดรุ่งๆ จนก้นแตกไม่เห็นมีที่ไหน นี่เราทำมาแล้วจึงได้มาสอนพี่น้องทั้งหลายฟัง นั่งเก้าคืนสิบคืน แต่ไม่ได้ติดกันนะ เว้นสองคืนบ้างสามคืนบ้าง นั่งทีแรกออกร้อนก้น คืนต่อไปมันก็พอง จากพองก็แตก จากแตกก็เลอะ เอาเลอะก็เลอะก้นแตก กิเลสยังไม่แตกยังไม่ถอย ซัดกันเสียจนใหญ่โตทีเดียว จนพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนี่ละ เราจึงกราบสุดหัวใจเรานะ ทุกอย่างท่านเป็นผู้กระตุก ท่านเป็นผู้ไสเรานะ เราไม่ได้ลืม ท่านกระตุกตรงไหนแม่นยำๆ ท่านรั้งก็แม่นยำ
นี่ละเวลานั่งภาวนาคืนแรกได้ความอัศจรรย์ขึ้นมา นั่งตลอดรุ่ง นี่ฟังนะพี่น้องทั้งหลาย ที่นำมาสอนโลกเวลานี้ เราไม่ได้เอาเหยาะแหยะๆ หลอกๆ ลวงๆ มาสอนพี่น้องทั้งหลาย เราเอามาจากความจริงจังของเราที่ได้ปฏิบัติมาแล้ว ด้วยความสัตย์ความจริงของเรา นั่งตลอดรุ่งนี้จิตเวลามันเป็นทุกข์ ที่เรานั่งอยู่นี่เหมือนหัวตอนะ ทุกขเวทนาที่มันโหมในร่างกายเข้านี่เหมือนไฟไหม้หัวตอ ไม่ถอย จิตกับสติปัญญาหมุนติ้วๆ แยกทุกข์ แยกกาย แยกเวทนา แยกจิต พิจารณาหมุนติ้วๆ ทุกข์มากเท่าไรการพิจารณา สติปัญญายิ่งหมุนติ้วๆ จนกระทั่งมันรอบกันแล้วมันก็ลง ทีนี้เวลาจิตลงแล้วจ้าเลยทีเดียว นั่นเห็นไหมล่ะ จิตดวงนี้ละ ดวงกระวนกระวายเป็นไฟไหม้หัวตออยู่นั่นละ
เวลาสติปัญญาออกทำงานไม่หยุดไม่ถอย ด้วยความทุกข์นี้มันทุกข์มาก สติปัญญาจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ทนเฉยๆ ไม่ได้ ต้องด้วยการต่อสู้พิจารณาทางด้านสติปัญญา จนกระทั่งมันรอบแล้วจิตก็ลงผึงเลยเชียวนะ พอลงผึงมันสว่างจ้าขึ้นมาเลย เกิดความอัศจรรย์ นี่เป็นคืนแรก พอคืนที่สองมานี้เรื่องความตายแต่ก่อนอย่างไรก็สู้กันถึงขั้นตาย พอต่อมาได้สักขีพยานนี้เรื่องความตายไม่มีความหมายยิ่งกว่าธรรมอันเลิศเลอที่เราได้เจอแล้ว จะเอาอันนั้นให้ได้ๆ ได้ทุกคืน นั่งเก้าคืนสิบคืน เว้นคืนหนึ่งสองคืนบ้าง ได้ทุกคืนไม่มีพลาด ลงจ้า
นั่นละพอจิตได้เป็นของอัศจรรย์ขึ้นหาหลวงปู่มั่นท่าน แต่ก่อนขึ้นไปหาท่านก็เหมือนลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายขึ้นไปหาครูบาอาจารย์ เหมือนผ้าพับไว้นะ เรียบร้อยทุกอย่าง เราก็เป็นเหมือนพระทั้งหลายนั่นละ แต่เวลามันรู้มันเห็นภายในใจมันเกิดความกล้าหาญชาญชัยภายในใจ ขึ้นไปก็ใส่ผางเลยทีเดียว เรื่องนั่งภาวนาเป็นอย่างนั้นๆ เหมือนแชมเปี้ยนซัดกันบนเวทีเอากับท่าน ท่านก็นั่งนิ่งเลยละ ท่านฟังทุกกิทุกกีนะนั่นที่เราเล่าให้ฟัง เป็นอย่างไรๆ เล่าถวายท่าน ถึงพริกถึงขิง ถึงพริกถึงขิงในการต่อสู้ของตัวเองตลอดถึงผลที่เกิดขึ้นเป็นความสว่างไสวขึ้นมา พอจบลงแล้วเราก็นิ่งคอยฟังที่ท่านจะประทานโอวาทให้เรา เราหมอบฟัง คอยจะฟังคำแนะของท่าน
พอเสร็จแล้ว “เอ้อมันต้องอย่างนั้น” ขึ้นเลย ท่านก็เด็ดของท่านเหมือนกันนะ เอ้อเอาอย่างนี้ละ ทีนี้ได้หลักแล้ว อย่าปล่อยนะ อัตภาพนี้มันไม่ตายถึงห้าหนแหละ มันตายเพียงหนเดียวเท่านั้นละ นี้ได้หลักแล้วเอาเลยนะ โอ๋ยทางนี้ก็เหมือนหมานั่นนะ พอถูกเจ้าของยุเห็นใบไม้สดใบไม้แห้งล่วงผ่านหน้าไม่ได้ นึกว่าข้าศึกศัตรู ทั้งจะเห่าจะกัด มันมีกำลังใจ นี่ละเริ่มต้น ท่านยกยอทีแรกท่านชมเชยทีแรก ครั้นต่อมาท่านสงบๆ ท่านยกยอให้นิดหน่อยๆ ครั้นต่อมาท่านนิ่ง
พอสุดท้ายขึ้นไปละทีนี้นะ ขึ้นไปหาท่านนะ เขาฝึกม้าเขาฝึกอย่างไรกัน ม้าตัวใดมันผาดโผนโจนทะยานมากๆ พยศมากเขาต้องฝึกเอาอย่างหนัก ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน แต่การฝึกเอาอย่างหนักทีเดียว จนกระทั่งม้านี่ค่อยลดพยศลง การฝึกเขาก็ค่อยลดลงๆ เมื่อม้าตั้งหน้าทำงานตามเจ้าของฝึกแล้ว จนได้การได้งานแล้วการฝึกเช่นนั้นเขาก็หยุด ท่านพูดเพียงเท่านี้ท่านก็หยุดไปเลย ทีนี้เราเข้าใจแล้ว เรายังเสียดายอยู่อันหนึ่งว่า เมื่อเวลาม้าใช้การใช้งานได้แล้ววิธีการอย่างนั้นเขาก็หยุด เราอยากให้ท่านย้อนมาหาเรา ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกตัวอย่างไรมันจึงไม่รู้จักประมาณ ความหมายว่าอย่างนั้น นี่คือท่านหักเรา กลัวเราจะผาดโผนมากเกินไป
นี่คือว่าการฝึกจิตของเรา จิตเมื่อมันผาดโผนโจนทะยานเอาอย่างหนัก เมื่อมันลดลงๆ ได้หลักได้เกณฑ์ก็มาเล่าให้ท่านฟังหมดแล้ว เรียกว่าได้หลักได้เกณฑ์แล้วควรที่จะผ่อนผันสั้นยาวต่อการฝึกทรมานของตน ความหมายว่าอย่างนั้น แต่ท่านไม่ได้ว่านะ กลัวเราจะอ่อนเปียกนั่นเอง โอ้ยท่านฉลาดมาก ท่านพูดแต่ม้าเท่านั้นท่านก็หยุด แต่เรายังเสียดายอยากให้ท่านย้อนหลังมา ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกอย่างไรจึงไม่รู้จักประมาณ เอาจนก้นแตกก้นเลอะ ท่านไม่ว่า เรายังเสียดายอยู่นะ"