top of page

ฉากที่ ๘ ก้าวเดินปัญญา

หลวงปู่มั่นชี้แนะหลวงตามหาบัวว่ากำลังติดสุขในสมาธิอยู่

ติดสมาธิ ๕ ปี

            "ด้านปัญญาก็เหมือนกัน ทางสมาธิก็ไม่พอดี คือสมาธิมันเป็นจริงๆ นี่ แน่นเหมือนหินเลย สมาธิเต็มภูมิ ท่านถาม เป็นยังไงท่านมหาจิตสงบดีอยู่เหรอ สงบดีบอกตรงๆ เลยเรา ท่านก็ถามเรื่อย เราตอบท่านก็นิ่งไป ทีนี้พอถึงกาลอันควรแล้ว เป็นยังไงท่านมหาจิตสงบดีอยู่เหรอ สงบดีอยู่ ท่านจะนอนตายอยู่นั่นหรือขึ้นเลยที่นี่ สมาธิมันหมูขึ้นเขียง เอาแล้วนะใส่แล้ว สุขในสมาธิเท่ากับเนื้อติดฟัน เนื้อติดฟันมีความสุขยังไงบ้าง สุขในสมาธิก็เท่ากันนั่นละ

            ท่านทุ่มหมดเลยนะ สมาธิทั้งแท่งเป็นสมุทัยทั้งแท่ง ท่านยกสมาธินี้ทิ้งหนีหมดให้หาใหม่ สมาธิทั้งแท่งเป็นสมุทัยทั้งแท่งท่านรู้ไหม ท่านไม่ยอมรับเลยที่นี่ ท่านจะให้เอาอันใหม่ดีกว่านั้น ยังเถียงท่านว้อๆ นะ ถ้าสมาธิเป็นสมุทัยแล้วสัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหน สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าท่านรู้จักกาลเวลาการเข้าการออก นั่น สมาธินี้มันสมาธิหมูขึ้นเขียง นี่เหรอสมาธิที่เอามาอวดอยู่นี้น่ะ นั่นเห็นไหมท่านซัดเข้าเลย จากนั้นมันก็ออกทางด้านปัญญา ท่านไล่ออกทางด้านปัญญา แก้กิเลสแก้ด้วยปัญญาต่างหากนะไม่ได้แก้ด้วยสมาธิ สมาธินี้เป็นแต่ตีกิเลสเข้ามาให้มันรวมตัวสงบไม่เพ่นพ่าน แล้วออกทางด้านปัญญา ปัญญาเป็นเครื่องแก้กิเลส สมาธิไม่ได้แก้ นั่นเอาละนะ ทีนี้พอออกทางด้านปัญญาออกๆ ใหญ่เลยที่นี่ เพราะสมาธิมันพร้อมแล้ว

            พอออกทางด้านปัญญาฟาดนี้ไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน ขึ้นไปหาท่านอีก ที่พ่อแม่ครูจารย์ให้ออกทางด้านปัญญาเวลานี้มันออกแล้วนะ มันออกยังไงท่านว่า ก็มันไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืนเลยเราก็พูดตรงๆ เวลามันหมุนทางด้านปัญญามันหมุนจริงๆ นี่ นั่นละมันหลงสังขาร คือสังขารทางด้านปัญญาก็เป็นสังขาร ถ้าใช้ไม่รู้จักประมาณสังขารทางด้านปัญญามันเป็นสังขารสมุทัยได้ความหมายว่างั้น ให้พักผ่อนถึงกาลเวลาที่ควรจะพักสู่ความสงบก็ให้พัก แต่นี้มันไม่พัก หมุนทางด้านปัญญาตลอด ท่านก็เขกเอาอย่างนี้ละ มีแต่ท่านรั้งเอาไว้ละเรา"

ธรรมฝ่ายสุภะ
ธรรมฝ่ายอสุภะ

พิจารณาอสุภะ

            "เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอสุภะกับจิตที่เต็มไปด้วยราคะความกำหนัดยินดี นี้เป็นของคู่ปรับหรือคู่เคียงกัน จิตมีราคะมากเพียงไรให้พิจารณาอสุภะอสุภังมากเพียงนั้นหนักเพียงนั้น จนกลายเป็นป่าช้าผีดิบขึ้นให้เห็นประจักษ์ใจ ราคะตัณหานั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เมื่อมองดูว่ามีแต่ปฏิกูลเต็มตัว ใครจะไปกำหนัดยินดีในปฏิกูล ใครจะไปกำหนัดยินดีในสิ่งที่ไม่สวยไม่งาม น่าอิดหนาระอาใจ นี่เป็นยาแก้ ยาระงับอสุภะอสุภังประการหนึ่ง ให้จิตสงบตัวลงไป

            เมื่อจิตได้พิจารณาอสุภะอสุภังหลายครั้งหลายหน จนเกิดความชำนิชำนาญ พิจารณาคล่องแคล่วว่องไวทั้งรูปภายนอกทั้งรูปภายใน จะพิจารณาให้เป็นอย่างไรก็เป็นได้ตามต้องการอย่างรวดเร็ว แล้วจิตก็จะรวมตัวเข้ามาสู่อสุภะภายใน แล้วจะเห็นโทษแห่งอสุภะที่ตนวาดภาพไว้นั้น ว่าเป็นเรื่องสัญญาประเภทหนึ่ง

            ทั้งสุภะทั้งอสุภะสองประเภทนี้ เป็นสัญญาคู่เคียงกันกับเรื่องของราคะ เมื่อพิจารณาได้เข้าใจทั้งสองเงื่อนนี้เต็มที่แล้ว คำว่าสุภะก็สลายตัวลงไปหาความหมายไม่ได้ คำว่าอสุภะก็สลายตัวลงไปหาความหมายไม่ได้ ผู้ที่ให้ความหมายว่าเป็นสุภะก็ดีอสุภะก็ดีก็คือใจ ก็คือสัญญา สัญญาก็รู้เท่าแล้วว่าเป็นตัวหมาย เห็นโทษแห่งตัวหมายนี้แล้ว ตัวหมายนี้ก็ไม่สามารถที่จะหมายออกไปได้ นั่น เมื่อเป็นเช่นนั้นจิตก็ปล่อยวางทั้งสุภะทั้งอสุภะคือทั้งสวยงามทั้งไม่สวยงาม โดยเห็นแต่เป็นเพียงตุ๊กตา เครื่องเล่นอันหนึ่งในขณะที่จิตยังไม่ชำนาญเท่านั้น

            เมื่อจิตชำนาญ รู้เงื่อนเหตุผลทั้งสองประการคือ สุภะอสุภะนี้แล้ว ยังสามารถมาย้อนทราบเรื่องความหมายของตนที่ออกไปปรุงแต่งว่า นั้นเป็นสุภะนั่นเป็นอสุภะอีกด้วย เมื่อทราบความหมายนี้อย่างชัดเจนแล้ว ความหมายอันนี้ก็ดับตัวลงไป และเห็นโทษแห่งความหมายนี้อย่างชัดเจนว่านี้คือตัวโทษ อสุภะไม่ใช่ตัวโทษ สุภะไม่ใช่ตัวโทษ ความสำคัญว่าเป็นสุภะอสุภะต่างหากเป็นตัวโทษ เป็นตัวหลอกลวงเป็นตัวให้ยึดถือ นั่น มันย่นเข้ามา นี่การพิจารณาย่นเข้ามาอย่างนี้

            เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เราจะกำหนดสุภะหรืออสุภะก็ปรากฏขึ้นอยู่ที่จิต โดยไม่ต้องไปแสดงภายนอกเป็นเครื่องหลอกลวงอันไกลเกินไป เห็นปรากฏอยู่ภายในจิต ในขณะที่ปรากฏอยู่ภายในจิตนั้นก็ทราบแล้วว่า สัญญาตัวนี้หมายขึ้นมาได้แค่นี้ ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ แม้จะปรากฏขึ้นมาอยู่ภายก็ทราบได้ชัดว่า สภาพที่ปรากฏเป็นสุภะเป็นอสุภะนี้ก็เกิดขึ้นจากตัวสัญญาอีกเช่นเดียวกัน รู้ทั้งภาพที่ปรากฏขึ้นภายในใจ รู้ทั้งสัญญาที่หมายตัวขึ้นมาเป็นภาพภายในใจอีกด้วย สุดท้ายภาพภายในใจนี้ก็หายไป สัญญาคือความสำคัญความหมายขึ้นมานั้นก็ดับไป เราก็รู้ได้ชัดว่าเมื่อสัญญาตัวเคยหลอกลวงว่าเป็นสุภะอสุภะ หลอกให้หลงทั้งสองเงื่อนนี้ ดับไปแล้ว สัญญาก็ดับไปด้วย ก็ไม่มีอะไรจะมาหลอกใจ  การพิจารณาอสุภะ พิจารณาอย่างนี้ตามหลักปฏิบัติ แต่เราจะไปหาในคัมภีร์  หาที่ไหนก็ไม่เจอ นอกจากหาความจริงคือในคัมภีร์ที่ใจ"

หลวงตามหาบัวอุปัฏฐากหลวงปู่มั่นขณะป่วยอย่างใกล้ชิด
ขบวนหามพาหลวงปู่มั่นไปจังหวัดสกลนคร
งานฌาปนกิจหลวงปู่มั่น

หลวงปู่มั่นป่วยครั้งสุดท้าย

            "พ่อแม่ครูจารย์มั่นเราท่านกำหนดไว้เรียบร้อยแล้วอายุท่าน ท่านบอกว่า ๘๐ พูดอย่างเปิดเผย ในที่ประชุมสงฆ์วันลงปาฏิโมกข์ คือพระอยู่ในที่ต่างๆ ตามหมู่บ้านนั้นหมู่บ้านนี้ พอฉันจังหันเสร็จแล้วก็เดินทางมา บ่ายโมงเริ่มลงอุโบสถ ท่านพูดท่านเตือน ใครจะรีบตั้งใจให้ตั้งใจนะ หากเป็นอะไรมาภิกษุเฒ่าจะแก้ให้ การแก้จิตนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย อยู่ไม่นานนะ นี่ลงแล้วนะ ๘๐ เท่านั้น บางทีนับข้อมือ เวลานั้นอายุได้เท่านั้น นับต่อกันไปถึง ๘๐ นั่นท่านว่าอย่างนี้นะ มันนานอะไร ใครอย่ามานอนใจท่านบอก ฟังซิท่านแน่ไหมล่ะ บอกว่า ๘๐ แล้วบางทีท่านก็นับข้อมือ ไปถึง ๘๐ นั่นมันนานอะไร

            อย่ามาตายกองกันอยู่ด้วยความประมาทนะ คือตายกองกันด้วยความประมาทมันก็เหมือนสัตว์ทั้งหลายตาย ไม่ให้พระเป็นแบบสัตว์ทั้งหลาย ท่านก็บอกเลย การแก้จิตใจไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เอ้า ใครเป็นอะไรภิกษุเฒ่าจะแก้ให้ พูดถึงเรื่องจิตใจนี่ โอ๋ย แสดงกิริยาท่าทางไม่สะทกสะท้าน อาจหาญด้วยความเมตตา อยากให้ผู้มาศึกษาได้เข้าอกเข้าใจในธรรมที่ท่านแสดงมา เพราะฉะนั้นเวลาใครติดข้องแล้ว เอ้าให้ถามมาท่านว่า ภิกษุเฒ่าจะแก้ให้

บางทีก็บอกว่าอายุไม่นานนะ ไม่เลย ๘๐ ท่านบอกอยู่อย่างนั้น ผิดไปไหนล่ะ บอกอายุไม่เลย ๘๐ บางทีท่านก็นับข้อมือ อายุท่านเวลานั้นได้เท่านั้นแล้ว นับไปๆ ไม่เลย ๘๐ นะ พอถึง ๘๐ แน่ะมันจะนานอะไร ใครอย่าประมาท แน่ะเอาละนะ มาตายกองกันอยู่ด้วยความประมาทใช้ไม่ได้นะ สัตว์โลกตายกองกันอย่างนี้ทั่วโลกดินแดน เรามีอรรถมีธรรมอย่าให้ตายแบบนั้น นั่นฟังซิท่านว่า ตายแบบผู้มีสติสตัง สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับธรรมอยู่ตลอดเวลา นั่นไม่ตายเกลื่อนกล่น ไม่ตายกองกัน ตายแล้วดีดเลย

            พ่อแม่ครูจารย์ท่านพูดคำไหนผิดเมื่อไร เรียกว่าออกจากญาณหยั่งทราบจริงๆ  พูดไม่สะทกสะท้าน เช่นอย่างว่า ๘๐ บอกพระเจ้าพระสงฆ์ที่มาลงอุโบสถมาจากที่ต่างๆ พอลงอุโบสถเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เทศน์ละที่นี่ พอเลิกจากเทศน์แล้วต่างองค์ต่างกลับไปวัดที่พักของตนไม่ห่างนัก ประมาณสัก ๙ กิโล ๑๐ กิโล ๑๑-๑๒ กิโล เหล่านี้ท่านมาอุโบสถได้ พอฉันเสร็จท่านก็ออกเดินทาง บ่ายโมงเริ่มลงอุโบสถ หลังจากลงอุโบสถแล้วก็เทศน์ละที่นี่ เทศน์สอนพระ มีแต่ธรรมะล้วนๆ ธรรมะแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วๆ พุ่งๆ เลย ท่านพูดอะไรไม่เคลื่อนนะ อย่างว่า ๘๐ นี่ พูดอยู่เรื่อย เวลาประชุมพระลงปาฏิโมกข์นั่นละ

            ลงปาฏิโมกข์ครั้งละ ๕๐-๖๐ พระ พระมาลงปาฏิโมกข์ ปรกติอยู่ตามที่ต่างๆ ไม่ห่างไกลนัก ๓ กิโล ๔ กิโล ๕ กิโล ถึง ๑๑-๑๒ กิโลท่านมา แต่ก่อนอย่าไปถามหาเรื่องรถเรื่องรา ตั้งแต่ทางไปก็ยังจะไม่มีทางจะว่าไง ฉันเสร็จแล้วท่านก็มา ท่านเทศน์สอนพระรู้สึกว่าจะวันอุโบสถปาฏิโมกข์ วันปาฏิโมกข์เดือนหนึ่งสองครั้งท่านจะอบรมพระ นอกจากนั้นเวลามันก็ไม่พอ พระอยู่ที่ต่างๆ ถ้าวันอุโบสถนี่พระมา ท่านจะได้เทศน์วันอุโบสถเดือนหนึ่งสองครั้ง

พอพูดอย่างนี้เราไม่ได้พูดยกยอตัวเองนะ พูดตามหลักความจริงเราไม่ลืม ก่อนจะไปก็กราบเรียนปรึกษาหารือท่าน เรื่องหน้าที่การงานอะไรในวัดนี้มีอะไรบ้าง ถ้าไม่มีท่านก็บอกว่าไม่มี ถ้าไม่มีก็อยากกราบนมัสการลาท่านไปประกอบความเพียรสักชั่วระยะหนึ่ง เราไม่ได้ว่าไปเตลิดนะ ไปต้องบอกชั่วระยะ เพราะท่านเมตตามาก เหมือนว่าในวัดนี้ไว้ใจให้ พอว่าจะไป จะไปทางไหน เราก็บอกว่าจะไปทางนั้นๆ พอเสร็จแล้วก็ออกเดินทาง ก่อนจะไปก็กราบเรียนท่านแล้ว วันมาฆะข้างหน้านี้จะไม่ได้มาร่วมมาฆะ เราว่างั้น เราไปวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ออกจากวัดไป เราไม่ลืมนะเพราะเกี่ยวโยงกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น จึงไม่ใช่เรื่องจะลืมเอาอย่างง่ายดาย

            ท่านก็พูดเป็นธรรมด้วย หยอกเล่นด้วย หยอกเล่นๆ ด้วยเมตตานะ คราวนี้จะไม่ได้มาร่วมอุโบสถเพราะไกลหน่อย เดินทั้งนั้นนี่ ท่านก็ถามไปทางไหนๆ ตอนนั้นเราไปวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิไกลอยู่ จากโน้นมาต้องค้างคืนเดินทางมา ว่าจะไม่ได้มาร่วมอุโบสถ เอ้อ อุโบสถคนเดียว ภาวนาให้ดีนะ เวลาท่านจะหยอกเล่นก็หยอกเล่น นี่ละสำคัญตรงนี้ จุดสุดท้ายของท่านนะนั่น ทั้งๆ ที่ตกลงกันเรียบร้อยท่านเข้าใจเรียบร้อยแล้ว วันนั้นพอขึ้นตอนเช้าเดือนสามเพ็ญ สี่โมงห้าโมงเริ่มถามแล้วนะ ท่านไม่ได้ถามธรรมดา ท่านมหามาถึงหรือยัง ว่ามาถึงหรือยัง

            ทั้งๆ ที่ตรงลงกันเรียบร้อยแล้วว่าจะไม่ได้มาร่วมอุโบสถคราวนี้ เพราะเราไปวันขึ้นสามค่ำ พอบ่ายมาละเอาเรื่อยๆ ท่านมหายังไม่มาเหรอ ยังไม่มาเรื่อยๆ จนกระทั่งค่ำ ถามย้ำเรื่อยๆ เราไม่รู้ความหมาย ความจริงท่านจะเทศน์รื้อโลกธาตุ แล้วเป็นวาระสุดท้ายจะไม่เทศน์อีกต่อไปความหมายว่าอย่างนั้น ท่านอยากให้ได้ฟังธรรมสุดท้าย ย้ำแล้วย้ำเล่า หือ ยังไม่มาเหรอท่านมหาน่ะ ท่านอยากให้ฟังวาระสุดท้าย นั่นละหยุดเท่านั้นไม่เทศน์อีกเลย เทศน์อย่างฟ้าดินถล่ม พอถึงเวลาแล้วยัง เอ๊ ท่านมหามันยังไงกันนา ว่าอย่างนี้ ที่ไหนได้ความมุ่งหมายของท่านอันใหญ่อยู่ธรรมเทศนา วันนั้นท่านจะเปิดโลกธาตุอย่างเต็มเหนี่ยวเลย

            ท่านก็เห็นว่าเรามีความตั้งอกตั้งใจในธรรมทั้งหลายอยู่แล้ว ท่านถึงได้พูดถึงเรา พอเทศน์แล้วเวลาเรามาถึง ไปอยู่ที่ไหนท่านว่างั้นนะ ขู่เลย เทศน์จนฟ้าดินถล่มมันไปอยู่ที่ไหน พอกราบ พอพูดเสร็จแล้ว นี่ก็เริ่มไม่สบายมาตั้งแต่วานซืนนี้ วานซืนขึ้น ๑๔ ค่ำ วันแรมค่ำ ๑ เดือนไหนไม่รู้ละหลังจากมาฆะแล้วเรากลับมา นี่เริ่มป่วยแล้วตั้งแต่วานซืนนี้ วันขึ้น ๑๔ ค่ำ แรมค่ำ ๑ เรามาถึง นี่ละบอกละนะที่นี่เริ่มบอกแล้ว นี่ป่วยเป็นครั้งสุดท้ายนะ นั่นบอกแล้ว อายุจะก้าวเข้า ๘๐ แล้ว ป่วยครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ไม่หาย มีตายถ่ายเดียว ยาจากเทวบุตรเทวดาที่ไหนก็ไม่หาย นี่ละท่านแน่แล้วนั่น แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ไม่ตายง่ายนะท่านว่า โรคนี่โรคทรมาน โรคคนแก่ 8 เดือนท่านก็ล่วงไป ตั้งแต่เดือน ๔ ถึงเดือนอะไรท่านมรณภาพ เราก็นับเวลาดู ๗-๘ เดือน

            ท่านเทศน์วันนั้นเอาใหญ่จริงๆ เทศน์แต่สองทุ่มฟาดถึงหกทุ่มเลย เทศน์สอนพระ นั่นละท่านถึงได้กระหน่ำเราเรื่อย เพราะเห็นความตั้งใจของเรา เทศน์ฟ้าดินถล่มมันไปอยู่ที่ไหนมหานี่น่ะ ตั้งแต่นั้นมาไม่เทศน์อีกเลยนะ ไม่เอาเลย นั่นละท่านมีจุดสำคัญๆ ที่ท่านเน้นหนักอยู่นั้น จอมปราชญ์สมัยปัจจุบันได้แก่พ่อแม่ครูจารย์มั่น เราไปศึกษากับท่านเองด้วยความตั้งอกตั้งใจไม่ให้ผิดให้พลาด กิริยาท่านแสดงอะไรจะเก็บไว้หมดๆ ตลอดเลย เพราะไปเห็นท่านถึงใจแล้ว ตั้งแต่วันเข้าไปหาท่านทีแรกถึงใจเลยเทียว เพราะฉะนั้นมันถึงจับตลอดไม่ให้คลาดให้เคลื่อน พอเดือนพฤศจิกา วันที่ ๑๐ ท่านก็ล่วง

            ตอนท่านป่วยหนัก ไอ้เราก็ติดพันตลอดเวลานะ ท่านจะบอกใครว่าท่านมหาเข้ามาพัวพันรักษาผมตลอดเวลา บางคืนไม่ได้หลับได้นอน ก็ควรจะหาองค์อื่นมาแทนบ้างให้พักผ่อนบ้างไม่เคยพูดนะ ไอ้เราก็ไม่เคยสนใจกับใคร มีแต่พุ่งๆ อยู่กับท่านตลอดเวลา พอเวลาท่านป่วยหนักเข้าๆ เวลาท่านหลับไปบ้างเราก็ออกไปเดินจงกรมข้างๆ สั่งพระไว้ พอลืมตาขึ้นมาท่านมหาไปไหน แน่ะเอาละนะ เราก็เข้าถึงทันทีเลย เข้ามุ้งเลยละ สำหรับมุ้งนั้นก็มีแต่เรากับท่านเท่านั้นเอง พระอยู่ข้างนอกมุ้งเต็มอยู่ข้างนอก มีแต่เราอยู่กับท่าน บางคืนไม่ได้หลับตลอดรุ่งเลย คือตอนนั้นพฤศจิกามันเริ่มหนาวแล้ว วัณโรคน่ะไอสำคัญมากทีเดียว นั่นละไม่ได้นอน

            โอ้ เราติดหูติดตากับพ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่ตกได้หลุดไปไหนเลย ปรากฏว่าจับติดๆ ทุกอย่างเลย ดูจนกระทั่งสุดลมหายใจท่าน ที่ท่านเร่งให้พระเอาท่านไปสกลนคร คือท่านบอกว่าท่านจะไปตายสกลท่านสั่งไว้แล้ว ตายที่นี่ไม่ได้สัตว์จะพินาศฉิบหายมาก นี้ไม่มีตลาดว่างั้นนะ ท่านห่วงกระทั่งสัตว์ ไปตายสกลฯ มันเป็นเมืองใหญ่เมืองกว้าง เขามีอยู่แล้วเป็นธรรมดา ถ้าเรามาตายที่เหล่านี้สัตว์จะตายเพราะเรา อยู่ในตลาดเมืองสกลนครเขามีสาธารณะอยู่แล้วไม่หนักเกินไป ท่านสั่งไว้ขนาดนั้น

            เวลาถึงขั้นท่านจะไปจริงๆ นี้เร่งใหญ่เลยนะ แต่มีคำหนึ่งที่ท่านปิดไว้ท่านไม่ออก เหตุที่เราจะทราบนั้นคือว่าเราเป็นเองโรคหัวใจ ถึงขั้นมันจะไปจริงๆ มันจะเอาจริงๆ นะ เวลามันพอหักห้ามกันได้ยับยั้งกันได้ก็ยับยั้งก็อยู่ได้ มันจะไปรู้อยู่นี่ มันจะดีดจิตนี่ หลายครั้งอยู่นะ ยังไม่ให้ไปบังคับไว้ก็อยู่ๆ นี่ถ้าท่านพูดเสียว่า นี่ผมรั้งเอาไว้นะเท่านั้นละ เวลาไหนก็ตามจะวัดแตกเลยเทียว เราไปกราบเรียนปรึกษาครูบาอาจารย์ องค์นั้นว่างั้นองค์นี้ว่างี้ ทีนี้เราอยู่ในมุ้งกับท่านถูกสับถูกยำตลอดเวลา บอกว่าให้เร่งเอาไปเดี๋ยวนี้ เร่ง คืนนั้นท่านไม่นอนนะ

            คือเวลานอนคนหลับธาตุขันธ์ ความตายควรตายไม่หลับนะ เวลามันดีดปุ๊บมานี้แก้ไม่ทัน ตาย ท่านจึงเร่งให้เอาไปวันนี้ เอาไปคืนนี้ ว่างั้นเลย แต่ท่านไม่ได้บอกว่าท่านรั้งเอาไว้เวลานี้ มาเป็นในเราเราถึงรู้ จึงย้อนหลังไปหาท่าน แต่ท่านไม่พูด  ถ้าหากว่าท่านว่ารั้งเอาไว้นี้กลางคืนก็ตามเวลาไหนก็ตาม เราจะไม่ฟังเสียงครูบาอาจารย์เลย เพราะเราอยู่ในมุ้งกับท่าน จะเอาไปกลางคืนเลยเชียว เพราะท่านเร่งเต็มที่แล้ว

            ตอนเช้าก็ดลบันดาลรถเขามารับพอดี ไม่ได้บอกนะ การคมนาคมติดต่อกันลำบากแต่ก่อน ถนนก็หินลูกรังเป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่เหมือนทุกวันนี้ เขาก็มารับท่าน ถามคำเดียว เพราะท่านมุ่งจะไปอยู่แล้ว เขาก็มารับ แล้วพระเณรมากมาย เราไปนี้พระเณรก็จะหลั่งไหลไปตาม รถราจะพอกันเหรอ ท่านว่า จะขนทั้งวัน เขาว่าอย่างนั้นนะ ไม่พอจะขนทั้งวัน ท่านก็ตายใจ เขาฉีดยานอนหลับให้ท่าน พอเสร็จแล้วก็ยกขึ้นใส่เตียงหามท่านออกมา พอไปถึง 6 ทุ่ม ตั้งแต่ตอนจังหันแล้วฉีดยา ถึง ๖ ทุ่ม พิษยาจางไปแล้วท่านตื่น

            พอตื่นนอนทีนี้ท่านไม่พูดอะไรเลย พอตื่นนอนแล้วท่านก็ดู ดูหมดทุกแห่งเลย คือกุฏิหลังนี้เป็นกุฏิที่เขาสร้างถวายท่าน ตอนท่านอยู่อุดรเขาสร้างกุฏิถวายท่าน เสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็มารับท่านไป ท่านก็ไปให้เขา นั่นละท่านถึงได้ไปดู เพราะท่านไปพักนั่นทีแรก พอวาระสุดท้ายก็ไปกุฏิหลังนั้น พอท่านตื่นนอนขึ้นมาแล้วท่านดูจริงๆ นะ ดูทุกทิศทุกทาง ดูนั้นดูนี้หมดแต่ไม่พูด แสดงว่าหายห่วงละที่นี่ มาถึงที่ต้องการแล้วซึ่งเป็นที่ตายของท่าน ตามความมุ่งหมายแล้ว ท่านแสดงอยู่เสมอว่าเราจะไปตายสกลฯ พอหมดห่วงแล้วทีนี้เริ่มแล้วนะ หมดห่วงหมดใยแล้ว ดูอาการเริ่มแล้ว เราบอกใครต่อใครดูเอา ที่ท่านเร่งไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืนท่านเร่งเพราะอะไร ดูเอาที่นี่ ดูอาการท่านแปลกแล้ว ท่านก็เริ่มทำหน้าที่เรื่อยๆ ตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตีสอง ๒ ชั่วโมง ดูอาการแปลกๆ พอตีสอง ๒๓ นาที ท่านก็สิ้นใจ

            ท่านสิ้นใจละเอียดอ่อนมากทีเดียว เวลาท่านจะสิ้นลมละเอียดอ่อนมากทีเดียว แล้วท่านก็ไปตีสอง ๒๓ นาที ท่านไปอย่างสมเกียรติของจอมปราชญ์สมัยปัจจุบัน ทุกอย่างเหมือนว่ากำหนดไว้ๆ อย่างที่ท่านจะมาตายสกลนคร ท่านเร่ง แต่ท่านไม่บอกว่านี่ผมรั้งเอาไว้ ท่านไม่ได้บอก ถ้าท่านว่าผมรั้งเอาไว้ กลางคืนก็ตามกลางวันก็ตามแตกเลยเชียว เราจะเอาไป ครูบาอาจารย์ว่าอะไรจะไม่ฟังเลย เพราะเราเป็นผู้หนักทุกอย่างอยู่กับท่าน

            ครูบาอาจารย์อยู่ข้างนอก ครั้นเวลาได้เรื่องจากท่านไป ไปกราบเรียน องค์นั้นว่าอย่างนั้นองค์นี้ว่าอย่างนี้เราโมโหนะ ทุกวันนี้ยังโมโหให้ครูบาอาจารย์เหล่านั้นอยู่ ครูบาอาจารย์เหล่าไหนก็ตามเถอะน่ะเรารู้ทุกองค์ องค์นี้ว่าอย่างนั้นองค์นั้นว่าอย่างนั้น เราโมโห ก็เราไปดูเหตุการณ์มาแล้วนี่ มาพูดไปคนละแบบๆ กับเราที่ไปดูแบบตายตัวมาแล้วมันเข้ากันไม่ได้ ทีนี้พอตอนเช้าเขาเอารถมารับ พอ ๖ ทุ่มยานอนหลับหมดพิษไปแล้วท่านก็ดู  ดูละเอียดลออมากนะ ดูว่าแน่ละที่นี่ เป็นสถานที่ที่เราจะตาย จากนั้นมาท่านก็ทำหน้าที่ไปเลย เหมือนว่าท่านกำหนดๆ เอาไว้ทุกอย่าง จอมปราชญ์

            เวลาท่านจะสิ้นนี้ แหม ละเอียดมาก ไม่มีกระดุกกระดิกอะไรๆ ทั้งนั้น อาการมีนิดหน่อยๆ ให้รู้ว่าท่านเตรียมแล้วๆ พอจวนตัวจริงๆ ลมหายใจค่อยผ่อนลงๆ เพราะหัวเราจ่ออยู่กับท่าน ครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านก็อยู่ หัวเราสอดเข้าข้าง หัวจ่อเข้าไปดูตลอด เพราะตอนนั้นเรายังเป็นพระผู้น้อย ดูเหมือนได้ ๑๖ พรรษาละมัง ครูบาอาจารย์ทั้งหลายเคารพท่าน เราก็ไม่อาจเอื้อม คอยฟังเสียงท่าน แต่ผู้ที่ปฏิบัติใกล้ชิดต่อเหตุการณ์ระหว่างท่านกับเราคือเรา มันหนักอยู่กับเรา

            เวลาท่านก็ดู แต่ละเอียดจนกำหนดไม่ได้นะว่าท่านสิ้นเมื่อไร ที่ว่า ๒๓ นาทีนั้นท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์เห็นว่าหมดหวังเงียบไปแล้ว นี่ไม่ใช่ท่านสิ้นแล้วเหรอ ก็เลยเอานาฬิกามาดู ไม่มีใครรู้ว่าท่านสิ้นเมื่อไร ละเอียดขนาดนั้น หัวเราจ่ออยู่ตลอด ค่อยละเอียดลงๆ แล้วเงียบไปเลย ไม่มีอวัยวะส่วนใดที่จะกระดุกกระดิกให้ทราบว่าไปเวลานั้น ละเอียดขนาดนั้นท่านไป ท่านตายอย่างนั้นละ

            พระอรหันต์ท่านตายง่าย ท่านไม่มีอะไรกับธาตุกับขันธ์ ดูความเคลื่อนไหวของธาตุขันธ์ มันอ่อนไปขนาดไหนๆ ธรรมชาตินั้นไม่ได้อ่อน ความบริสุทธิ์ของใจที่รับผิดชอบร่างกายไม่ได้อ่อน ไม่ได้ลดราวาศอกอะไรเลย คงเส้นคงวาหนาแน่นเรียกว่านิพพานเที่ยงคือธรรมชาติ ดูธาตุดูขันธ์ที่เป็นของแปรปรวน ดูตลอด พอสุดท้ายก็ปล่อยเลย ไปเลย

            ได้เห็นเต็มหูเต็มตาพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพ เราได้เห็นเต็มหูเต็มตาด้วยความเคารพเลื่อมใสเทิดทูนสุดหัวใจเรา"

bottom of page